ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 933 ชาติหน้า
ตอนที่ 933 ชาติหน้า
ลู่เจียวได้ฟังจ้าวเหิง ก็นิ่งอึ้งเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง จากนั้นนางยิ้มบาง เอ่ยว่า “หากฝ่าบาททรงต้องการ หม่อมฉันเขียนรายละเอียดการอบรมม่อเอ๋อร์เป็นเล่มให้ฝ่าบาททอดพระเนตร ไม่แน่ว่าอาจได้ค้นพบสิ่งใหม่อันใดได้”
จ้าวเหิงพอได้ฟังดีใจยิ่งนัก “เช่นนั้นเราก็จะรอ”
โอรสในวังทำเขาปวดหัวมาก เขาเกิดความคิดอยากจะให้ฉินม่อเข้าวังอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รีบร้อนในตอนนี้
ลู่เจียวไม่คุยเรื่องนี้อีก แต่อมยิ้มมองจ้าวเหิงกล่าวว่า “หม่อมฉันอยากทูลเกล้าฯ ถวายโรงบ้านไป้เยว่แด่ฝ่าบาท”
จ้าวเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอันใด เขาค่อยๆ เงยหน้ามองไปยังลู่เจียว กล่าวว่า “เราคิดอยากสร้างสำนักตรวจสอบมาตลอด เอาไว้สำหรับตรวจสอบบรรดาขุนนาง เหยาเหนียงยินดีเข้าร่วมสำนักตรวจสอบ เป็นองครักษ์ลับสำนักตรวจสอบหรือไม่”
ลู่เจียวพอได้ฟัง ฮ่องเต้คิดจะนำโรงบ้านไป้เยว่ที่มีเงื่อนไขที่ดีไว้คอยจับตาดูบรรดาขุนนาง และสืบความเคลื่อนไหวของขุนนางในแคว้นอวิ๋นฉิน
นางก็มิได้ถือสาหากจะต้องเกาะท่อนขา[1]ฮ่องเต้เป็นที่พึ่งเช่นนี้
“ได้ก็ได้อยู่ แต่หม่อมฉันมีเงื่อนไขหนึ่ง”
จ้าวเหิงได้ฟังคำพูดนาง ก็มิได้คัดค้าน รีบถามว่า “ว่ามา”
ลู่เจียวลุกขึ้นคุกเข่าคำนับนอบน้อม “หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับคำร้องทุกข์ของหม่อมฉัน ฟ้องหลี่ฉางอานแห่งเมืองอู้โจว ทั่นฮวาที่สังหารภรรยาและบุตรเพื่อหวังทรัพย์สินตระกูลฉิน”
นางกล่าวจบก็ยื่นคำร้องที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ก่อนหน้านี้นางมีแผนจะส่งคำร้องให้อ๋องฉิน ตอนนี้มอบให้จ้าวเหิงก็เช่นกัน
จ้าวเหิงรับคำร้องแล้วก็อ่านอย่างละเอียด มองไปยังลู่เจียวเอ่ยว่า “เจ้าก็คือภรรยาของหลี่ฉางอานหรือ”
“เพคะ ขอฝ่าบาทได้โปรดตรวจสอบโจรชั่วผู้นี้ด้วย”
จ้าวเหิงรับปาก “เรารับเรื่องไว้แล้ว”
ลู่เจียวยิ้มขอเพียงมีคนไปสืบเรื่องนี้ ย่อมต้องสืบคดีหลี่ฉางอานสังหารภรรยาและบุตรได้กระจ่าง ช่องโหว่มีมากมายเพราะเมื่อสามปีก่อนหลี่ฉางอานมิได้วางแผนแยบยลอันใด
จ้าวเหิงกล่าวจบมองไปยังลู่เจียว ค่อยๆ กล่าวว่า “เราช่วยเจ้าเรื่องนี้ได้ แต่วันหน้าเจ้าต้องช่วยเราทำในสิ่งที่ควรทำ เราไม่ชอบคนทรยศ”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท”
จ้าวเหิงรับคำร้องแล้วก็กลับเข้าวัง รีบสั่งการให้ศาลอาญาต้าหลี่รับคดีนี้ไปสืบ แต่สั่งการลงไปว่าก่อนคดีนี้จะสืบได้ความ อย่าได้เผยเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้
เจ้ากรมศาลอาญาต้าหลี่รับคำ นำคนออกไปสืบคดีนี้
สองเดือนต่อมา หลี่ฉางอานถูกจับเข้าคุก ตัดสินโทษประหาร ดำเนินการทันที
ก่อนประหารคืนนั้น ลู่เจียวได้รับความเห็นชอบจากจ้าวเหิงให้ไปเยี่ยมหลี่ฉางอานที่คุกหลวง
ยามนี้หลี่ฉางอานไม่ได้มีท่าทางได้ใจเหมือนเมื่อสามปีก่อนอีกแล้ว เขาขดตัวอยู่ในมุมห้องขัง พอได้ยินเสียงผู้คุมเรียก ก็เงยหน้าเหม่อมองมานอกประตูคุก ได้พบกับสตรีท่าทางงดงามสวมหมวกสาน เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที ผงะถอยหลังด้วยสัญชาตญาณพร้อมกับส่งเสียงร้องดัง
“ผี ผี”
ลู่เจียวแค่นหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “ความกล้ามีแค่นี้ ยังคิดสังหารผู้อื่น”
หลี่ฉางอานได้ฟังคำพูดนางก็มีสีหน้าซีดเผือด จ้องมองนางเป็นนานก่อนจะยอมรับว่าคนผู้นี้ยังไม่ตาย นางยังไม่ตาย
หลี่ฉางอานปรี่เข้าไปเกาะซี่ไม้กรงขัง “ฉินเหยา เจ้ายังไม่ตาย เจ้ายังไม่ตาย?”
ลู่เจียวหัวเราะเล็กน้อย “มิผิด ข้ายังไม่ตาย แต่เจ้าไม่นานก็จะต้องตายแล้ว”
หลี่ฉางอานได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็มองนางอย่าวหวาดกลัว เป็นนานก่อนจะเอ่ยว่า “เป็นเจ้า เจ้าให้ร้ายข้า ใช่หรือไม่”
ลู่เจียวอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าทำร้ายคนตระกูลฉินสามสิบชีวิต ทุกคนล้วนไร้ความผิด อันใดเรียกว่าให้ร้าย”
ลู่เจียวแววตาเยียบเย็น ไม่ได้มีความเห็นใจแม้แต่นิด
หลี่ฉางอานมองลู่เจียวแล้วก็ค่อยๆ รำลึกได้เรื่องหนึ่ง หญิงตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่ฉินเหยา ฉินเหยาไม่ได้เย็นชาเช่นนี้ ฉินเหยาไม่มีทางทำกับเขาเช่นนี้ นางรักเขา เขารู้
หญิงผู้นี้ไม่ใช่นาง
หลี่ฉางอานส่งเสียงตะโกนดัง “เจ้าไม่ใช่ฉินเหยา เจ้าไม่ใช่นาง เจ้าไม่ใช่นาง”
ลู่เจียวยิ้มมองเขา จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากคุกไป หลี่ฉางอานได้สติคืนมา ตะกายประตูกรงส่งเสียงตะโกนดัง “ข้าไม่อยากตายๆ”
น่าเสียดายไม่มีคนสนใจเขา
ในมุมมืดหนึ่งของห้องขัง มีคนเห็นภาพนี้ทุกอย่าง นำไปทูลรายงานฮ่องเต้ในวัง ฮ่องเต้ได้ยินที่หลี่ฉางอานเอ่ยก็ส่งคนไปเมืองอู้โจวตรวจสอบ สุดท้ายกลับพบว่าลู่เจียวก็คือฉินเหยาจริงๆ เพียงแต่ถูกชายชั่วทำร้ายให้เสียใจเท่านั้น
หลี่ฉางอานถูกตัดศีรษะประหารชีวิต ลู่เจียวเข้าร่วมสำนักตรวจสอบ เป็นองครักษ์ลับช่วยฮ่องเต้ตรวจสอบขุนนางในเมืองหลวงและพื้นที่ต่างๆ
ปีรัชศกไท่หนิงที่ยี่สิบ ฉินม่อน้อยสอบตำแหน่งจ้วงหยวนได้ขณะอายุเพียงสิบหกปี
ไม่เพียงแต่เป็นบุคคลที่สง่าผ่าเผยและมีเมตตา ยังได้รับการอบรมจากลู่เจียวจนมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นชายหนุ่มอายุน้อยมากความสามารถที่ได้รับการจับตามองจากชาวแคว้นอวิ๋นฉิน ฮ่องเต้เหวินหวาตี้ทรงโปรดเขามาก เรียกเข้าเฝ้าในวัง ยังส่งเขาไปเป็นสหายร่วมศึกษากับองค์ชายหก
องค์ชายหกได้รับอิทธิพลจากเขาทำให้ยิ่งเก่งกล้าโดดเด่น
มาถึงตอนนี้ ลู่เจียวนับว่าได้บรรลุภารกิจแล้ว ระบบถามนางว่าจะออกจากแคว้นอวิ๋นฉินทำภารกิจต่อไปหรือไม่
แต่ลู่เจียวรู้สึกอาลัยฉินม่อน้อย หนุ่มน้อยอายุสิบหก รูปงามกระจ่าง ยังมีความอาลัยในฐานะมารดาอยู่ไม่น้อย นางอยู่เป็นเพื่อนเขาต่ออีกสองปีก็แล้วกัน
แม้ว่าทำภารกิจ แต่ก็อยู่กับฉินม่อน้อยมาสิบเอ็ดปี ลู่เจียวเกิดความผูกพันเห็นเขาเป็นดังบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ทำให้นางไม่ค่อยห่วงมากที่สุดในบรรดาบุตรชายนางทั้งหมด
“อยู่ต่ออีกสองปีก็แล้วกัน”
สองปีต่อมา ลู่เจียวได้เลือกบุตรีขุนนางกรมพิธีการให้แต่งเป็นภรรยาฉินม่อ หลังทั้งสองคนแต่งงานกันได้สามเดือน ลู่เจียวก็เริ่มป่วยได้หนึ่งสัปดาห์ นางก็เริ่มไม่ไหวแล้ว ก่อนจากไปยังเรียกฉินม่อน้อยมาข้างเตียง
“ม่อเอ๋อร์ แม่เกรงว่าคงไม่ไหวแล้ว เจ้าต้องทุ่มเทเพื่อแคว้นอวิ๋นฉิน รู้หรือไม่”
ฉินม่ออายุสิบแปดน้ำตาไหลพราก ร้องไห้คุกเข่าอยู่หน้าเตียงลู่เจียว เขายกมือขึ้นกุมมือลู่เจียวมาแนบแก้มตนเอง ฝังใบหน้าตนเองไว้ในฝ่ามือลู่เจียว
ลู่เจียว่รู้สึกได้ถึงน้ำตาชื้นเปียกฝ่ามือ นางอาลัยอย่างยิ่ง แต่จำต้องตัดใจจากไป
“ม่อเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำเช่นนี้ เจ้าทำเช่นนี้ ในใจแม่เศร้ามาก จดจำวาจาแม่ไว้ จะต้องเป็นขุนนางที่ดี เป็นสามีที่ดี บิดาที่ดี กตัญญูต่อท่านปู่ท่านย่าให้ดี รู้ไหม”
ฉินม่อโขกศีรษะรับคำเต็มแรง “ท่านแม่วางใจ ม่อเอ๋อร์จะจดจำวาจาท่านแม่ไว้ เป็นขุนนางที่ดีของแคว้นอวิ๋นฉิน ภักดีต่อฝ่าบาท ใส่ใจคนในครอบครัว ม่อเอ๋อร์จะจดจำคำสอนของท่านแม่หลายปีมานี้เอาไว้ให้แม่นมั่น”
“เด็กดี”
ลู่เจียวคิดถึงว่าหลี่ฉางอานตายแล้ว ฉินม่อก็มิได้ไปอยู่กับองค์ชายสามในวัง เพราะองค์ชายสามโหดเหี้ยม ลงมือทำร้ายพี่น้องตนเอง ฮ่องเต้สั่งลงโทษ แต่ปรากฏว่ารักษาไม่ทัน ขาองค์ชายสามจึงพิการเดินกะเผลก ชีวิตนี้ขององค์ชายสามไร้วาสนาต่อราชบัลลังก์แล้ว
ดังนั้นฉินม่อกับองค์ชายสามจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก ลู่เจียวจึงไม่เป็นห่วงองค์ชายสามกับนางเอก ว่าจะส่งผลต่อเขาแล้ว และนางก็ได้ฝากฉินม่อไว้กับฮ่องเต้แล้ว เชื่อว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่นาง ดูแลเขาบ้าง
“ท่านแม่ไปละ”
ลู่เจียวหลับตาหลุดจากโลกภพนี้
ฉินม่อยื่นมือไปกอดร่างนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เห็นลู่เจียวสิ้นลมไปแล้ว
เขาก็สะอื้นไห้กล่าวว่า “ท่านแม่ ม่อเอ๋อร์จะจดจำคำสอนท่านแม่ไว้ จะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อประโยชน์แคว้นอวิ๋นฉิน ทำความดีสั่งสมกุศล ม่อเอ๋อร์มีเพียงความปรารถนาเดียว ชาติหน้าขอให้ได้เป็นบุตรชายท่านแม่อีก”
[1] สำนวนจีนเกาะขาหมายถึงหาผู้มีบารมีเป็นที่พึ่ง ถ้ามีบารมีก็เป็นดังท่อนขาทองคำ