เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1011 ขาที่สามคืออะไร?
บทที่ 1011 ขาที่สามคืออะไร?
บทที่ 1011 ขาที่สามคืออะไร?
ฉู่โหยวเจากำหมัด ภาพของพี่เขยที่จัดการนักฆ่าปรากฏขึ้นอีกครั้งในความคิด ‘บางทีเขาอาจมีโอกาสชนะจริง ๆ ก็ได้’
มู่หรงชิงเหอดูเหมือนจะอ่านความคิดของนางได้และพูดพลางส่ายหัวว่า “แม้ว่าความสามารถของพี่เขยท่านจะค่อนข้างน่าชื่นชม แต่ยังมีช่องว่างระหว่างเขากับทายาทของราชันลมปราณอยู่มาก ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าไรก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น การโจมตีของเขาจะสามารถทำลายการป้องกันของร่างกายของอีกฝ่ายได้แค่ไหนยังไม่รู้เลย”
ราวกับจะพิสูจน์คำพูดของนาง ซูอันยื่นนิ้วออกมาโดยใช้กระบี่เกล็ดหิมะเพื่อแทงซี่โครงของคู่ต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ชั้นของแสงสีม่วงส่องผ่านผิวหนังของจ้าวจื่อทำให้การโจมตีไร้พลังอย่างสมบูรณ์
แรงปฏิกิริยาจากการกระแทกทำให้นิ้วของซูอันชาหนึบ เขาตระหนักได้ทันใดและใช้วิชาร่างก้าวทานตะวันถอยห่างไปสามจั้งทันที
จุดที่เขายืนอยู่เมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วระเบิดออก กระแสไฟฟ้าวูบวาบออกไปด้านนอก แรงระเบิดก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้น แม้แต่เศษหินหรืออิฐต่างไหม้เกรียมด้วยสายฟ้าอันทรงพลัง
ทายาทของราชันลมปราณขมวดคิ้วขณะที่มองซูอัน ทักษะการเคลื่อนไหวนี้ค่อนข้างแปลก แต่ก็ไม่สำคัญ เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้าคงทำให้ตัวเองมั่นใจน่าดู น่าเสียดายที่การโจมตีของเจ้าไม่สามารถทะลุผ่านเกราะธาตุของข้าได้ เจ้าเด็กน้อยจะเอาชนะข้าได้อย่างไร?”
ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือทำให้พลังชี่ของคู่ต่อสู้หมดไป เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป พลังชี่ของผู้บ่มเพาะระดับล่างจะหมดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อซูอันเหนื่อย ทักษะการเคลื่อนไหวแปลก ๆ นั่นจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และจ้าวจื่อจะสามารถทุบซูอันให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้อย่างง่ายดาย
ซูอันถอนหายใจ “ถ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำลายเกราะธาตุของเจ้าได้ แล้วเจ้ามีความกล้าที่จะยืนเฉย ๆ ให้ข้าโจมตีสามครั้งไหม?”
ขณะที่พูด เขาแอบดึงกระบี่ไท่เอ๋อร์ของเขาออกมา กระบี่เล่มนี้สามารถเจาะทะลุเกราะธาตุของผู้บ่มเพาะได้ การจะสู้กับคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าอาจเป็นไปไม่ได้สำหรับคนอื่น แต่สำหรับเขาอาจไม่เป็นเช่นนั้น
ทายาทของราชันลมปราณขมวดคิ้ว “เจ้าจะเอาไอ้แท่งเขรอะ ๆ นั่นมาเขี่ยข้าเหรอ?”
กระบี่ไท่เอ๋อร์ดูไม่ค่อยเหมือนอาวุธที่แข็งแกร่งเท่าไรนัก มันไม่ได้ส่องแสงเหมือนอาวุธศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ แต่ดูขึ้นสนิมและไร้ประโยชน์แทน ไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นมองมันอย่างดูถูก
“แล้วอยากโดนไอ้แท่งเขรอะนี่เขี่ยไหมล่ะ?” ซูอันพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก เขาต้องการดูว่าชายคนนี้จะโง่พอที่จะยินยอมหรือไม่ เขาจะได้มอบบทเรียนที่หนักหน่วงให้
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เหรอ?” ทายาทของราชันลมปราณไม่ยินยอม แม้เขาจะไม่คิดว่าอาวุธที่ดูต่ำต้อยนั่นจะสามารถเจาะทะลุเกราะธาตุได้ แต่ไม่มีทางที่เขาจะยืนเฉย ๆ และปล่อยให้ซูอันโจมตีเหมือนคนโง่
“ถ้าเจ้าไม่อยาก ข้าก็แค่บังคับ” ทันทีที่คำพูดออกจากปาก เขาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างของจ้าวจื่อราวกับเป็นผี แทงกระบี่ไท่เอ๋อร์ใส่อย่างฉับพลัน
จ้าวจื่อขมวดคิ้ว ทักษะการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้นั้นแปลกประหลาดเกินไป โชคดีที่ธาตุสายฟ้าทำให้เขาได้เปรียบในเรื่องความเร็ว เขาหลบการโจมตีของกระบี่เขรอะที่แทงเข้ามาแล้วตอบโต้กลับทันที
บุคคลทั้งสองพุ่งกลับไปกลับมา เป็นภาพที่ตระการตามากสำหรับผู้ชม
มู่หรงชิงเหอตกตะลึง “พี่ฉู่ พี่เขยของท่านแข็งแกร่งมากกว่าที่คิดเลยนะ”
ภาพที่เห็นตรงหน้าเกินความเข้าใจของนางไปแล้ว มู่หรงชิงเหอหมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเยาว์ แม้ว่าการบ่มเพาะของนางจะไม่ถือว่ายอดเยี่ยมในเมืองหลวง แต่ก็ยังเป็นอันดับหนึ่งในหมู่สหาย มีผู้บ่มเพาะที่มีอำนาจมากมายในตระกูลมู่หรง การอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยได้ช่วยพัฒนาวิสัยทัศน์ของนางให้กว้างไกล
ในสายตาของนาง ไม่ว่านางจะประเมินสถานการณ์อย่างไร ซูอันไม่ควรสู้ได้อย่างสูสี ทายาทของราชันลมปราณมีการบ่มเพาะถึงระดับแปด!
มันกลายเป็นการต่อสู้ที่ทัดเทียมกันเช่นนี้ได้อย่างไร?
เดี๋ยวนะ… ดูเหมือนว่าทายาทของราชันลมปราณค่อย ๆ สูญเสียความได้เปรียบ
ทักษะการเคลื่อนไหวของซูอันนั้นแปลกประหลาดเกินไป และทำให้เพลงกระบี่ของเขาคาดเดาไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เมื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ใช้ทักษะเดียวกันนี้ นางดูเหมือนเทพธิดาที่ไม่มีใครอาจเอื้อม แต่ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะก้าวข้ามไปสู่อีกระดับหนึ่ง
ฉู่โหยวเจายืดอกอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาเป็นพี่เขยของใคร?”
มู่หรงชิงเหอย่นจมูก ใครกันที่เคยสาปแช่งพี่เขยของตัวเองและถึงกับสงสัยว่าพี่สาวของเขาตาบอดไปแล้วหรือเปล่า? ทัศนคติของท่านจะเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
ทายาทของราชันลมปราณทั้งตกใจและโกรธจัด “ดีมาก เจ้าทำให้ข้าต้องเอาจริงจนได้”
ด้วยระดับการบ่มเพาะระดับแปด เขาไม่คิดว่าการเอาชนะซูอันจะต้องใช้ความพยายามมากนักและงดใช้อาวุธจนถึงตอนนี้ เพราะการรังแกผู้ที่อ่อนแอมันทำให้เขาดูไม่สง่างาม
ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว แผนเดิมของเขาคือรอจนกว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะหมดเรี่ยวแรงและไม่สามารถใช้ทักษะการเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป แต่ด้วยเหตุผลบาง อย่างดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะมีแหล่งกักเก็บพลังชี่ที่กว้างใหญ่อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ขุนนางหนุ่มเองอาจได้รับบาดเจ็บก่อนที่เขาจะรอจนคู่ต่อสู้หมดแรง
จ้าวจื่อเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปดผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังต้องออกแรงกำจัดหนูตัวนี้จากท้องถนน หากผิดพลาดกลายเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บแทน เขาคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการเยาะเย้ยถากถางในวงสังคมได้
ซูอันสบถอย่างดูถูก “ในที่สุดเจ้าก็ชักกระบี่ออกมาแล้วใช่ไหม? ดี ถ้าเจ้ายังทำเล่น ๆ ข้าจะตัดขาทั้งสามของเจ้าทิ้ง!”
ใบหน้าของขุนนางหนุ่มแดงก่ำ แม้เขาจะมั่นใจว่าเกราะธาตุปกป้องได้ แต่คู่ต่อสู้ยังคงเล็งมาที่น้องชายกลางหว่างขาอย่างน่าหวาดเสียว
เขาชักกระบี่ออกมาอย่างเงียบ ๆ ความโกรธคุกรุ่นอยู่ภายในใจ ข้าต้องตัดแขนขาของไอ้สารเลวนี้ให้ได้ แม้ว่าข้าจะไม่ฆ่ามันในวันนี้! ข้าก็ต้องตัดลิ้นสุนัขให้ได้!
—
ท่านยั่วยุจ้าวจื่อสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +444… +444… +444…
—
มู่หรงชิงเหอกะพริบตา นางมองไปที่ฉู่โหยวเจา “พี่ฉู่ ขาที่สามคืออะไร?”
นางเฉียบแหลมในเรื่องการบ่มเพาะเท่านั้น ‘ขาที่สาม’ อยู่นอกขอบเขตความรู้ของนาง
“เด็กไม่ควรถามเรื่องนี้” ฉู่โหยวเจาตอบอย่างไม่สบอารมณ์ นางหน้าแดง ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นซูอันร่วมรักกับพี่สาว นางจึงรู้ความหมายของขาที่สามโดยที่ไม่มีใครสอน
“ท่านไม่ได้แก่กว่าข้าเท่าไรเลยนะ” มู่หรงชิงเหอพึมพำ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่อีกฝ่ายดูถูกอายุของนาง และเมื่อกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลันดวงตาของนางก็จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าแดงก่ำของฉู่โหยวเจาอย่างตกตะลึง พี่ฉู่หล่อเหลายิ่งนัก!