หมอพิษชั้นหนึ่ง - เล่มที่ 29 ตอนที่ 858 อวิ๋นซูตกอยู่ในอันตราย
เล่มที่ 29 ตอนที่ 858 อวิ๋นซูตกอยู่ในอันตราย
กู้สวิ๋นฟางย้อนคิด มือที่อยู่ในแขนเสื้ออดไม่ได้ที่จะกำแน่น จากนั้นเขาจึงหยิบอาภรณ์ที่สวมใส่วันนี้มาโยนไว้เบื้องหน้าเฟิ่งหลิง แขนเสื้อที่ถูกกัดกร่อนยังคงมีกลิ่นเหม็นอันเข้มข้นโชยออกมา
ดวงตาของเฟิ่งหลิงมีประกายพาดผ่าน ภาพเช่นนี้เขาคุ้นเคยเป็นที่สุด
“สีหน้ายามที่คนผู้นั้นเห็นปลอกแขนไม่ค่อยปกตินัก ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องกล่าวเตือนองค์ชายใหญ่ ตอนนี้เมื่อคิดถึงกลิ่นคาวเลือดบนร่างของคนผู้นั้น ยังทำให้ข้ามวนท้องจนยากจะรับไหว” กู้สวิ๋นฟางกล่าวพลางกุมหน้าอกของตน
กลิ่นคาวเลือด? อวิ๋นซูและเฟิ่งหลิงสบตากันโดยพลัน พวกเขาคิดถึงคนผู้หนึ่งเช่นเดียวกัน
“เขามาปรากฏตัวบนถนนเมืองหลวงได้อย่างไร…” คิดไม่ถึงว่ากู้สวิ๋นฟางจะพบคนตระกูลอู่สายใน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเห็นปลอกแขนที่กู้สวิ๋นฟางสร้างมาแล้วด้วย เชื่อว่าหลังจากกลับไปจะต้องทูลรายงานไท่ซ่างหวงเป็นแน่ การตายของฮองเฮาแคว้นเหลียนมิได้ทิ้งเบาะแสใดไว้ให้พวกเขา ผู้อาวุโสตระกูลอู่ที่เคยทำงานให้พระนางก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าไปที่ใด เชื่อว่าคงกลับไปอยู่ข้างกายไท่ซ่างหวงแล้วกระมัง เพียงแต่การกระทำของคนตระกูลอู่สายในลึกลับรอบคอบ ย่อมไม่เผยฐานะของตนออกมาง่ายๆ ทว่าคนผู้นี้ถึงกับใช้ยาพิษบนถนน หากข่าวแพร่ออกไปเช่นนี้คงยากจะหลีกเลี่ยง หรือจะได้รับคำสั่งอะไรมา
“ในหลายวันที่ข้าเก็บตัวอยู่ในห้อง เมืองหลวงมีเด็กหายไปแล้วหลายคน คนที่ข้าพบวันนี้ยังพูดกับปากว่าจะเอาตัวหลิงเอ๋อร์ไปทำยา”
ทำยา? ดวงตาของอวิ๋นซูเปล่งประกาย ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
“ข้ารู้สึกไม่ดีนัก ไม่ทราบว่าคุณหนูกงซุนมีความคิดใดหรือไม่?” คราวนี้กู้สวิ๋นฟางมีความรู้สึกเฉียบแหลมอย่างเหนือคาด บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตของซูหลิงเอ๋อร์ เขารู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นไม่ยอมวางมือง่ายๆ เป็นแน่ คนอันตรายเช่นนี้จะต้องรีบจัดการจึงจะเป็นการดี
อวิ๋นซูใคร่ครวญครู่หนึ่ง ในสมองของนางคล้ายกับมีประกายบางอย่างไหลวน อย่างไรก็ตามในใจกลับไม่แน่ใจเต็มสิบส่วน “ใต้เท้ากู้ได้เผยร่องรอยตัวเองหรือไม่?”
กู้สวิ๋นฟางส่ายหน้าเล็กน้อย “ที่นี่คงยังปลอดภัยอยู่ ทว่าหากจะต้องอยู่หลบๆ ซ่อนๆ ให้องค์ชายใหญ่สั่งคนไปจับกุมคนผู้นี้เพื่อเป็นการกำจัดอุปสรรคมิดีกว่าหรือ”
…
ภายในลานอันเงียบสงบ ท่าทางครุ่นคิดของอวิ๋นซูดึงดูดความสนใจของเฟิ่งหลิง
“ข้าสั่งให้คนจับตาดูคดีลักพาตัวทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว ซูเอ๋อร์มีความคิดใดหรือไม่?”
อวิ๋นซูอ้าปากเล็กน้อย รับปลอกแขนมาจากมือเฟิ่งหลิง “ปลอกแขนนี้ป้องกันพิษได้หรือ?”
“คนตระกูลอู่สายในพัฒนายาพิษตัวหนึ่งที่สามารถกัดกร่อนทุกสิ่งทุกอย่างออกมาได้ ทว่าเหล็กดำนี้เป็นเหล็กหายากที่เสด็จพ่อตามหามานาน อาวุธฟันแทงไม่เข้า ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถป้องกันพิษร้ายแรงได้ด้วย เพียงแต่น่าเสียดายที่หนักเกินไป หากทำเป็นชุดเกราะจะเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของทหาร กู้สวิ๋นฟางนับว่ามีความสามารถจริงๆ ถึงกับคิดวิธีการใช้ประโยชน์เช่นนี้ออกมาได้” เขาตีเหล็กดำเป็นแผ่นบางเอามาหลอมคลุมบนชุดเกราะทำให้ลดน้ำหนักลงได้มาก ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถป้องกันพิษของศัตรูได้อีกด้วย เฟิ่งหลิงสั่งให้คนไปสร้างชุดเกราะตามวิธีของกู้สวิ๋นฟางแล้ว
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามจากอาภรณ์ที่ถูกกัดกร่อนที่กู้สวิ๋นฟางนำออกมาในวันนี้ ดูแล้วเขาคงพบคนตระกูลอู่สายในเข้าเสียแล้ว “หากไม่กำจัดตระกูลอู่ วันหน้ามิแน่ว่าจะพัฒนายาพิษน่ารังเกียจอันใดออกมาอีก ที่กู้สวิ๋นฟางกล่าวว่าใช้เด็กไปทำยา ยากจะให้อภัยนัก ในวิชาลับของตระกูลอวิ๋นมีวิธีการเช่นนี้อยู่จริงๆ ”
“วิชาลับตระกูลอวิ๋น?”
หากเป็นไปได้อวิ๋นซูก็ไม่อยากกล่าวถึง จะอย่างไรนี่ก็เป็นความลับที่ตระกูลอวิ๋นส่งต่อกันมาในแต่ละยุคสมัย “คนที่ควบคุมอวิ๋นเม่ยในตอนแรกคิดทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้วิชาลับแห่งตระกูลอวิ๋น ในนั้นมีบันทึกวิชาลับไว้อย่างหนึ่ง เป็นการใช้เลือดของเด็กชายเด็กหญิงมาทำยา สามารถคงความเยาว์วัยได้ตลอดกาล หนึ่งร้อยปีก่อนหน้านี้มีผู้สูงศักดิ์ในวังนำไปใช้เพื่อรักษาใบหน้ามิให้ร่วงโรย อย่างไรก็ตามเนื่องจากวิธีการสร้างพวกมันโหดร้ายเกินไป ภายหลังบรรพบุรุษตระกูลอวิ๋นจึงพากันหยุดใช้วิชาลับนี้ เพียงแต่ไม่ทราบว่าตอนนี้ตระกูลอู่นำไปใช้อย่างไร จะทำให้ใบหน้าของผู้ใดเยาว์วัยตลอดกาล?”
เฟิ่งหลิงขมวดคิ้ว เขาย่อมคิดไปถึงคนผู้นั้น ทว่าอีกฝ่ายจะสิ้นเปลืองความพยายามไปกับเรื่องเช่นนี้จริงหรือ? จะอย่างไรสำหรับบุรุษย่อมไม่ใส่ใจรูปร่างหน้าตาของตนเท่ากับสตรี พวกเขายินดีไล่ตามตำแหน่งอำนาจเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามเฟิ่งหลิงกลับคิดไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง “ต้องใช้เด็กชายเด็กหญิงมากเท่าใด?”
“อย่างน้อยหนึ่งร้อย”
หนึ่งร้อย? แต่ในเมืองหลวงมีเด็กหายไปห้าคน เฟิ่งหลิงคิดว่าที่อื่นคงเกิดโศกนาฏกรรมนี้ด้วยเช่นกัน อีกฝ่ายคงออกรวบรวมเด็กชายเด็กหญิงจากแต่ละแห่งในแคว้นเหลียน หากคดีลักพาตัวเกิดในที่แห่งเดียวกลับจะดึงดูดความสงสัยของผู้อื่น
เฟิ่งหลิงคิดว่ามิอาจนั่งดูเฉยๆ ได้เป็นอันขาด ราชวงศ์มีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยของชาวประชา ไม่ว่าผู้อยู่เบื้องหลังจะมีจุดประสงค์อันใด การใช้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากมายมาทำให้ตนสมปรารถนาเช่นนี้ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ
“ซูเอ๋อร์ หลานอวิ๋นออกเดินทางไปตามหาเสด็จแม่ของข้าแล้ว”
“พบร่องรอยของฮองเฮาพระองค์ก่อนแล้วหรือ?” น้ำเสียงของอวิ๋นซูเจือไปด้วยความแปลกใจระคนยินดี เฟิ่งหลิงเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า “มีเบาะแสบ้างแล้ว หวังเพียงว่าจะไม่ดีใจเปล่า”
ยามนี้เอง ในมืออวิ๋นซูปรากฏถุงหอมสีม่วงอันปราณีตงดงามขึ้นถุงหนึ่ง เฟิ่งหลิงรู้สึกแปลกใจ “นี่คือ…”
“นี่คือถุงหอมที่ข้าปรุงเอง ระยะนี้ดูเหมือนจิตใจท่านไม่ค่อยสงบ” จริงๆ อวิ๋นซูเข้าใจดี ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ความกดดันของเฟิ่งหลิงย่อมมิใช่อะไรที่ผู้อื่นจะจินตนาการได้ ยิ่งใกล้ช่วงเวลาวิกฤติ ทุกเรื่องที่กระทำยิ่งต้องใส่ใจระมัดระวัง อวิ๋นซูรู้ดีว่าสิ่งที่ตนช่วยเขาได้มีจำกัด หวังเพียงว่าถุงหอมที่ปรุงจากสมุนไพรนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดให้เฟิ่งหลิงได้บ้าง
เฟิ่งหลิงรับถุงหอมมาสูดดม กลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้สดชื่นโถมเข้ามา เขาเผยรอยยิ้มงดงามโดยพลัน แขวนไว้ที่เอวอย่างระมัดระวัง “ข้าจะดูแลมันให้ดี”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีชื่นชอบเช่นนี้ ในใจของอวิ๋นซูพลันมีความอบอุ่นเกิดขึ้น
…
อย่างไรก็ตาม วันต่อมา
“คุณหนู เด็กที่หายไปอายุประมาณหกเจ็ดขวบ เห็นสภาพมารดาเหล่านั้นแล้ว ช่างน่าสงสารยิ่งนัก” ชุนเซียงตามอยู่ข้างกายอวิ๋นซูติดๆ คิดไปถึงใบหน้าสิ้นหวังทั้งหลายเมื่อครู่นี้ ในใจอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้
“เลือกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ท่าทางอีกฝ่ายคงคิดหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย” หากเด็กที่หายไปเป็นบุตรหลานของขุนนางสูงศักดิ์ เกรงว่าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว วันนี้อวิ๋นซูพาชุนเซียงออกมาจากจวนแม่ทัพแต่เช้าเพื่อมาตรวจสอบข่าวลือเกี่ยวกับคดีเด็กหายรอบๆ นางมิได้หารือกับเฟิ่งหลิงก่อน เนื่องจากทราบว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ยอมให้ตนสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้เป็นแน่ แต่บางเรื่องนางยังจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
ริมฝั่งแม่น้ำเบื้องหน้ามีผู้คนรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก
“ลูกข้า…ลูกที่น่าสงสารของข้า…” เสียงร้องไห้อันน่าสงสารดังแว่วมา ชาวบ้านรอบด้านพากันส่ายศีรษะถอนใจ “อนาถ ช่างอนาถจริงๆ”
อวิ๋นซูพาชุนเซียงเดินเข้าไปใกล้ พลันได้ยินคนรอบข้างพูดกันคนละประโยค
“หายตัวไปหลายวัน ไม่คิดว่าวันนี้กลับถูกพบริมแม่น้ำ เด็กคนนี้สุดท้ายก็ไม่รอด”
“ใช่แล้ว ดูเถิด แขนถูกปลาในแม่น้ำกัดจนขาดแล้ว…”
พบว่าบนพื้นมีเด็กชายใบหน้าเขียวม่วงผู้หนึ่งนอนอยู่ แขนซ้ายขาดด้วน ยามนี้กำลังถูกสตรีนางหนึ่งกอดเอาไว้ในอ้อมกอด
ชุนเซียงรีบเข้าไปปลอบใจสตรีนางนั้น อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น เห็นดรุณีสวมอาภรณ์งดงามสองคนเบื้องหน้า อย่างไรก็ตามนางยังคงไม่หยุดร้อง อวิ๋นซูทำได้เพียงตรวจสอบศพของเด็กชายผู้นี้เล็กน้อย เอ่ยปากอย่างสงสัย “พบที่ริมแม่น้ำหรือ? แต่เด็กคนนี้ไม่ได้จมน้ำตาย”
“เอ๋? ละ ลูกข้า…” บนใบหน้าของสตรีปรากฏความสิ้นหวัง “ไม่ได้จมน้ำตาย เช่นนั้น…”
บาดแผลที่แขนซ้ายดูไม่เหมือนรอยถูกฝูงปลากัดแทะ แต่คล้ายถูกอาวุธมีคมฟันขาด อวิ๋นซูพบว่าใบหน้าของเด็กชายคนนี้บวมเป่ง ตาขาวมีเลือดเล็กน้อย นางเอ่ยปากด้วยความสงสัย “เด็กคนนี้ไม่สบายหรือ?”
สตรีสะอึกสะอื้น “ลูกข้าเป็นโรคหอบ ก่อนหน้านี้หลายวันข้าให้เขาอยู่ที่บ้าน ส่วนข้าไปรับยาที่โรงหมอ ไหนเลยจะรู้ว่ากลับมาแล้วจะไม่เจอเขา เป็นผู้ใด เป็นผู้ใดที่โหดเหี้ยมเพียงนี้…”
คำตอบของสตรีทำให้อวิ๋นซูคิดไปถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง นางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ชุนเซียงโดยพลัน
“ฮูหยินโปรดระงับความโศกเศร้า นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของคุณหนูข้า รีบทำศพให้เด็กเถิด” ชุนเซียงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ ยัดใส่มือของสตรีผู้นั้น คนที่อยู่รอบด้านบางคนจำอวิ๋นซูได้ “นี่คือคุณหนูกงซุน!”
อวิ๋นซูให้คนใจดีหลายคนพาสตรีนางนี้กลับไปส่ง คนที่มาล้อมดูริมฝั่งแม่น้ำพากันสลายตัวออกไป
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเห็นว่าเด็กคนนี้ตายอย่างมีลับลมคมใน แขนนั้นจะต้องถูกผู้อื่นฟันขาดแน่นอน” เมื่อครู่สตรีนางนั้นยังอยู่ด้วย ชุนเซียงพบความผิดปกติจึงมิได้เอ่ยปาก รอเอ่ยกับอวิ๋นซูเป็นการส่วนตัว
“เกรงว่าเด็กคนนี้คงถูกทิ้ง” สตรีเมื่อครู่นี้กล่าวว่าเด็กคนนี้เป็นโรคหอบ บันทึกในวิชาลับกล่าวว่าเด็กที่มีอาการป่วยจะไม่อาจนำมาทำส่วนผสมของยาได้ เชื่อว่าอีกฝ่ายคงพบจุดนี้จึงฆ่าคนทิ้งศพ ส่วนเหตุใดจึงต้องตัดแขนไปข้างหนึ่ง บางทีอาจนำมาใช้ทดสอบกระมัง
ชุนเซียงกำลังคิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าสายตาของนางกลับเปลี่ยนไปโดยพลัน “คุณหนู เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเรารีบกลับจวนเถิด” นางยื่นมือไปบีบแขนอวิ๋นซูอย่างจงใจ
สัญญาณลับนี้ทำให้อวิ๋นซูเพิ่มความระมัดระวังขึ้นหลายส่วน สตรีทั้งสองรีบเดินมุ่งไปยังถนนที่มีคนมาก
ชุนเซียงพยายามรักษาความเร็วของฝีเท้า แต่กลับมิได้ผ่อนคลายแม้แต่น้อย ยังคงมีสายตาเปี่ยมอันตรายจับจ้องมาที่พวกนาง สัญชาตญาณของผู้มีวรยุทธกำลังบอกนางว่าจะต้องรีบกลับไปเสีย ทว่าตอนนี้เอง อวิ๋นซูกลับหยุดฝีเท้าลง
“คุณหนู?” ชุนเซียงเบนสายตาขึ้นด้วยความสงสัย กลับพบว่าอวิ๋นซูกำลังมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปเดินมามีบุรุษในชุดคลุมสีดำยืนอยู่ผู้หนึ่ง หมวกงอบที่เขาสวมใส่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ดวงตาที่ปรากฏออกมาเจือไปด้วยความสนุกสนาน ไม่สนใจสายตาที่มองมาจากรอบด้าน
“ฮี่ๆ…”
เสียงแหบแห้งฟังดูเสียดหูยิ่ง เขายืนอยู่บนจุดสำคัญของถนน ขวางทางเดินเบื้องหน้าอวิ๋นซู
“เด็กน้อย รู้เรื่องมากมายยิ่งนัก มิสู้ไปศึกษาด้วยกันกับผู้ชราเป็นอย่างไร?”
ชุนเซียงสูดหายใจเย็นยะเยือก รีบก้าวออกมาปกป้องเบื้องหน้าอวิ๋นซู “คุณหนูระวัง” บุรุษผู้นี้คือคนที่ติดตามพวกนางมาตั้งแต่ริมฝั่งแม่น้ำเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่?
“พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่?” บนใบหน้าของอวิ๋นซูไม่ปรากฏความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับเอ่ยปากถามด้วยความเยือกเย็นเป็นพิเศษ
“ผู้ชราสนใจเจ้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าขอบเขตสูงสุดของวิชาแพทย์อยู่ที่ใด?”
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้…ในสมองของอวิ๋นซูมีราวกับมีสายฟ้าไหลผ่าน หรือว่าเขาคือ…