หมอพิษชั้นหนึ่ง - เล่มที่ 34 ตอนที่ 1001 ฐานะของเขา
เล่มที่ 34 ตอนที่ 1001 ฐานะของเขา
อวิ๋นซูเบนสายตาขึ้น แววตาคมกริบ “ฉินเช่อ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าข้าคือผู้ใด?”
ฉินเช่อ?! แววตาของบุรุษเต็มไปด้วยความตกใจ นาง เหตุใดนางจึงรู้ชื่อที่ตนใช้ในแคว้นอี้เมื่อปีนั้นได้ “จะ เจ้าคือผู้ใด?”
“คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีเพียงนี้ ใต้เท้าฉินจะไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เมื่อปีนั้น เพราะได้แผนการของใต้เท้าฉิน ทำให้เซียวอี้เชินทำลายเผ่าโยฮาได้สำเร็จทั้งยังสร้างผลงานมากมาย!” แต่ละประโยคของอวิ๋นซูชัดเจนยิ่งนัก ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าสุขุมเยือกเย็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใจสั่น
ดวงตาของบุรุษเบิกกว้าง ยิ่งนานยิ่งตื่นตะลึง เขาไม่มั่นใจว่าคนเบื้องหน้าคือผู้ใดและไม่อาจยอมรับ “เกรงว่าแม่นางคงจำคนผิดแล้ว ข้าชื่อฉินชิง ไม่ใช่ฉินเช่อที่แม่นางเรียก! แม่นางจะต้องเข้าใจผิดอันใดเป็นแน่!”
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ก็มีเสียงนกอินทรีย์ตีปีกดังขึ้นในมุมหนึ่ง การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หัวใจของบุรุษที่เดิมทีสงบนิ่งเกิดประกายราวถูกฟ้าผ่า เขาหันไปมอง พบว่านกอินทรีย์ที่เมื่อวานตนเห็นมันบินจากไปโดยสวัสดิภาพกำลังดิ้นอยู่กับพื้น!
ทว่าบนร่างของนกอินทรีย์ตัวนั้นกลับไม่มีวัตถุใดอยู่อีก มันดิ้นจนกระทั่งปีกค่อยๆ ตกลง
สารลับเล่า? สารลับที่เขาเขียนให้ไท่ซ่างหวงเล่า?
บุรุษกำหมัดแน่น ขณะนั้นเองสตรีสุขุมเยือกเย็นพลันหยิบสารลับแผ่นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ตัวอักษรด้านบนปรากฏชัดเจน นางแย้มยิ้มบางเบา ในนั้นเจือไปด้วยความเย้ยหยัน “ที่แท้ยามอยู่ในแคว้นเหลียนใต้เท้าฉินมีนามว่าฉินอี้หรือ?”
“เจ้า เจ้าทำได้อย่างไร…” สารลับของเขาใช้น้ำสมุนไพรชนิดพิเศษเขียนขึ้น หากคนภายนอกได้ไปจะเห็นเพียงกระดาษเปล่าเท่านั้น น้ำสมุนไพรชนิดนี้ต้องนำไปอิงไฟจึงจะปรากฏให้เห็น สตรีผู้นี้ถึงกับทำลายแผนลับของเขาได้เชียว
อวิ๋นซูแย้มยิ้มเล็กน้อย “น้ำสมุนไพรนี้อวิ๋นซูเป็นผู้ทำขึ้น ย่อมต้องรู้ว่าจะใช้อย่างไร ใต้เท้าฉินไม่จำเป็นต้องแปลกใจ”
“อะไรนะ?!” ฉินชิงตื่นตะลึงยิ่งนัก ในใจปรากฏความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน เมื่อมองใบหน้าไม่คุ้นเคยหน้าเบื้องหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง เขายิ่งไม่กล้าเชื่อ สตรีนางนี้ เป็นไปไม่ได้…
“น้ำสมุนไพรนี้เป็นฮองเฮาซูที่…”
อวิ๋นซูเดินมาเบื้องหน้าเขาช้าๆ ใช้นิ้วเรียวยาวปัดเส้นผมที่ตกลงมาระแก้มไปยังหลังหู เผยใบหน้าที่ทำให้เขาสงสัยออกมา ให้อีกฝ่ายเพ็งดูอย่างละเอียด “ใต้เท้าฉินคิดจะพูดว่าฮองเฮาซูตายไปแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อกล่าวจบ อวิ๋นมู่ที่อยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะร่างกายแข็งทื่อ แม้คำพูดเช่นนี้จะออกมาจากปากนาง แต่เขายังรู้สึกไม่สบายใจ จะอย่างไรตอนนี้นางก็ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว ทำให้เขารู้สึกโศกเศร้ากับเรื่องเมื่อก่อน
ขณะนี้บุรุษที่ถูกโซ่เหล็กพันธนาการรู้สึกยากจะเชื่อยิ่งนัก เขาดิ้น พยายามพุ่งไปเบื้องหน้าอวิ๋นซู แต่เนื่องจากการพันธนาการของโซ่เหล็กทำให้เขามิอาจก้าวไปได้ ทำได้เพียงเบิกตากว้างด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้า เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึง…”
สายตาของเขาค่อยๆ เลื่อนไปบนร่างของอวิ๋นมู่ ดวงตาปรากฏความสงสัยลึกล้ำยิ่งขึ้น รู้สึกว่าเคยพบคนผู้นี้ที่ใดมาก่อน ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งดังลั่นในใจ คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้!
“เจ้า เจ้าคือคนตระกูลอวิ๋น…”
ถูกต้อง! ใช่แล้ว! คนผู้นี้ก็คือบิดาของฮองเฮาซู อวิ๋นมู่! ไม่พบกันนานหลายปี ดูเหมือนเขาจะลืมลักษณะของคนผู้นี้ไปแล้ว ตอนนี้ได้ยินอวิ๋นซูกล่าวกระตุ้นความทรงจำเก่าก่อนจึงนึกขึ้นมาได้ สตรีผู้นี้กล่าวว่าตนเองชื่ออวิ๋นซู…
“เจ้าอย่าแกล้งทำเป็นผีต่อหน้าข้า! ฮองเฮาซูตายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว!” บุรุษหันมาจ้องอวิ๋นซูด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อ สตรีที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาจากความตายได้อย่างไร!
อวิ๋นซูแย้มยิ้มบางเบา “ท่านกล่าวไม่ผิด ฮองเฮาซูตายไปแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ใต้เท้าฉินสมควรบอกพวกเราหรือไม่ว่าตกลงท่านเป็นคนแคว้นอี้หรือแคว้นเหลียน? อีกทั้งการที่ท่านปรากฏตัวที่แคว้นอี้เพื่อช่วยเหลือเซียวอี้เชินมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? ย้อนกลับมาที่แคว้นเหลียนมาเป็นมือเป็นเท้าให้ไท่ซ่างหวงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? ใต้เท้าฉิน ข้ากล่าวเช่นนี้ ท่านคงเข้าใจกระมัง?”
บุรุษเม้มปากไม่ยอมพูด พยายามเบนหน้าออกเพื่อหลบสายตาของนาง เขาคิดไม่ถึงว่าฐานะของตนจะถูกเปิดเผยเช่นนี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจให้อีกฝ่ายรู้ความจริงทุกอย่าง
คนทั้งสองที่อยู่ในคุกใต้ดินคาดเดาได้นานแล้วว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้จึงสบตากันด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อใต้เท้าฉินไม่ยอมพูด ดูท่าทางคงทำได้เพียงให้ใต้เท้าลิ้มลองวิธีการตระกูลอวิ๋นของพวกเราที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้เสียหน่อย!”
อวิ๋นซูส่งสายตาเป็นสัญญาณ อวิ๋นมู่เดินเข้ามา ในมือของเขามีขวดเล็กๆ สามขวด
ในที่สุดบุรุษก็หน้าเปลี่ยนสี แต่เขารู้ว่าตนไม่อาจพูดออกไปได้ หากพูดออกไป ไท่ซ่างหวงคงไม่ปล่อยเขาแน่นอน จุดจบคงอนาถยิ่งกว่า “พวกเจ้าสังหารข้าเถิด! ข้าจะไม่บอกเรื่องใดให้พวกเจ้ารู้แน่!”
อวิ๋นซูไม่กล่าวคำใด ผงกศีรษะให้บิดาเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินออกไปจากคุกใต้ดิน เฟิ่งหลิงยืนรอนางอยู่ด้านนอกแล้ว
อวิ๋นซูมองไปยังบุรุษงามพิลาสเบื้องหน้า รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นปกติ “ให้ท่านรอนานแล้ว!
ดวงตาของเฟิ่งหลิงสั่นไหว กุมมือเล็กๆ ของนางไว้กลางฝ่ามือ เบนสายตามองไปยังคุกใต้ดินที่อยู่ด้านหลังนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “เขาพูดหรือไม่?”
ตอนนี้เอง ด้านในพลันมีเสียงกรีดร้องอันน่าอนาถของบุรุษดังแว่วมา ทำลายบรรยากาศสงบนิ่งไปจนสิ้น
อวิ๋นซูแย้มยิ้ม “ไม่มีใครต่อต้านวิชาสอบสวนที่แท้จริงของตระกูลอวิ๋นได้แน่ ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่จะต้องพูดแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นมีท่านพ่ออยู่ ต่อให้บุรุษผู้นั้นอยากตายก็ไม่ง่ายเพียงนั้น!”
“ความหมายของซูเอ๋อร์ก็คือ เดิมทีคนผู้นี้อาจเป็นลูกน้องของไท่ซ่างหวง การที่เขาปรากฏตัวในแคว้นอี้อาจเป็นแผนของไท่ซ่างหวงหรือ?”
อวิ๋นซูพยักหน้า เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขา บริเวณคิ้วมีกลิ่นอายสงบนิ่งแผ่ออกมา “เป็นไปได้มาก มิแน่ว่าคนในรายชื่อขุนนางแคว้นอี้ที่เขานำติดตัวมาอาจเป็นกลุ่มอำนาจที่ไท่ซ่างหวงจัดเตรียมไว้ในแต่ละตำแหน่งตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน”
ขณะเดียวกันอวิ๋นซูก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก ไท่ซ่างหวงคอยช่วยเซียวอี้เชิน ทำให้เขากลายเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นอี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ โดยให้แคว้นเหลียนที่แข็งแกร่งคอยควบคุมจักรพรรดิแคว้นใหญ่ๆ อยู่เบื้องหลัง ใช้ประโยชน์จากพวกเขาไปทำลายแคว้นเล็กๆ สุดท้ายก็หลงเหลือเพียงแคว้นอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร เมื่อสงครามเริ่มขึ้น แคว้นเหลียนจะทำตัวเป็นเฒ่าหาปลาคอยรอรับผลประโยชน์!
เมื่อคิดถึงตรงนี้อวิ๋นซูพลันรู้สึกว่าไท่ซ่างหวงน่ากลัวยิ่งนัก ดูเหมือนเขาวางแผนการไว้นานแล้ว แผนการที่จะทำให้แคว้นเหลียนกลืนแคว้นต่างๆ เป็นหนึ่งเดียว
ภายในห้องอันเงียบสงัด ทุกคนมีแววตาเคร่งขรึม ในตอนที่ซูฉินเดินเข้ามา นางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไป มันเต็มไปด้วยความกดดันที่ทำให้ทุกคนต้องขมวดคิ้ว คู่บุรุษสตรีที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะมีท่าทางหนักใจ ในใจซูฉินพลันหนักอึ้ง
“หลิงเอ๋อร์ ซูเอ๋อร์ บุรุษผู้นั้นบอกข้อมูลอะไรมาหรือ?”
เพิ่งจะกล่าวจบ ด้านหลังก็มีกลิ่นคาวเลือดโชยมา ซูฉินหันกลับไปมอง พบว่าเป็นอวิ๋นมู่ที่เพิ่งออกมาจากคุกใต้ดิน ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด เพียงมองก็คาดเดาได้ว่าฉินชิงคงรับการทรมานไม่ไหว
“บุรุษผู้นั้นสารภาพหรือไม่?”
อวิ๋นมู่สูดหายใจลึก มองไปที่อวิ๋นซูด้วยสายตาลึกล้ำ กล่าวเสียงขรึมว่า “เขาพูดหมดแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ซูฉินสังเกตเห็นอะไรบางอย่างรางๆ “เกี่ยวข้องกับไท่ซ่างหวงหรือ?”
อวิ๋นมู่พยักหน้า จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าไท่ซ่างหวงแห่งแคว้นเหลียนจะมีแผนการน่าหวาดกลัวเพียงนี้ มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังกำแน่น
“เป็นดั่งที่ซูเอ๋อร์คาดเดา บุรุษผู้นั้นเป็นคนของแคว้นเหลียน หลายปีมานี้เขาเดินทางไปยังแคว้นต่างๆ เพื่อจัดวางอำนาจให้แคว้นเหลียน และการที่เขาช่วยเหลือจักรพรรดิเซียว ความจริงเป็นเพราะไท่ซ่างหวงถูกใจในความทะเยอทะยานของเซียวอี้เชินที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงองค์ชายพระองค์หนึ่ง ดังนั้นจึงสั่งให้ฉินอี้เดินทางไปแคว้นอี้ ใช้ฐานะกุนซือคอยวางแผนช่วยเหลือเซียวอี้เชิน จะทำลายแคว้นเล็กๆ แคว้นใดก่อนก็เป็นการจัดการของไท่ซ่างหวง ชื่อที่แท้จริงของบุรุษผู้นี้ก็คือฉินอี้! หลังจากเซียวอี้เชินขึ้นครองบัลลังก์ ไท่ซ่างหวงก็…”
อวิ๋นมู่กล่าวถึงตรงนี้ก็มองไปยังอวิ๋นซูด้วยสายตาลึกล้ำ ความเจ็บปวดในดวงตาเพิ่มเป็นเท่าทวี จากนั้นจึงกล่าวต่อไป “ไท่ซ่างหวงคิดว่าฮองเฮาซูเป็นอุปสรรคขวางเส้นทางอันความทะเยอทะยานของจักรพรรดิเซียว ด้วยเหตุนี้ เรื่องเมื่อปีนั้นเกิดขึ้นเพราะไท่ซ่างหวงคอยผลักดัน ทำให้เขาคิดทำทุกวิถีทางเพื่อ…”
อวิ๋นซูเข้าใจความหมายในคำพูดของอวิ๋นมู่ได้โดยพลัน แม้สายตาจะยังคงกระจ่างชัดแต่กลับเกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นหลายส่วน ไม่นานก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เกรงว่าจะอย่างไรไท่ซ่างหวงก็คงคิดไม่ถึงว่าชื่อของฮองเฮาแห่งแคว้นอี้จะสว่างไสวยิ่งกว่าชื่อของเซียวอี้เชินเสียอีก ดังนั้นหากมีชื่อของฮองเฮาผู้ฉลาดเฉลียวอยู่เช่นนี้ เกรงว่าแคว้นอี้คงยากจะดำเนินไปในทิศทางที่เขาต้องการ!”
อวิ๋นมู่ทอดถอนใจเบาๆ สมองย้อนคิดไปถึงวันเวลาที่อวิ๋นซูอยู่ในแคว้นอี้ กัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว!”
ดวงตาของอวิ๋นซูสั่นไหว นับว่าเข้าใจกระจ่างแล้ว การดำรงอยู่ของตนส่งผลต่อเป้าหมายที่จะควบคุมแคว้นอี้ของไท่ซ่างหวง ดังนั้น…
ตอนนี้ทุกคนในห้องเข้าใจความหนักหนาของเรื่องได้ชัดเจนแล้ว คิดไม่ถึงว่ามือไท่ซ่างหวงผู้อยู่หลังม่านจะยื่นไปถึงแคว้นอื่น ทุกคนคิดถึงแคว้นอี้กับแคว้นเฉินที่กำลังทำสงครามกันอยู่ หรือว่านี่จะเป็นการจัดการของไท่ซ่างหวงด้วย?
เฟิ่งหลิงเบนสายตาขึ้นมองไปยังสตรีที่สงบนิ่งราวดอกกล้วยไม้เบื้องหน้า เขาเข้าใจแล้ว ตอนนี้ไท่ซ่างหวงกำลังใช้ประโยชน์จากอวิ๋นซูอีกครั้ง คิดยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นใหญ่ทั้งสอง ตอนนี้ไม่ว่าแคว้นใดถูกทำลายก่อน อีกแคว้นย่อมบาดเจ็บสูญเสียไม่น้อย ตอนนั้นจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่แคว้นเหลียนจะลงมือ!
ยามค่ำคืน สตรีนางนั้นยืนรับลมอยู่บนกำแพงเมือง อาภรณ์โบกสะบัดราวปุยเมฆยามค่ำคืน ประหนึ่งภาพลวงตา
นางมองไปยังม่านราตรีอย่างเงียบสงบ ดวงจันทร์รางเลือนมองเห็นเบื้องหน้าไม่ชัดเจน จันทราผอมบางหม่นแสง ค่ำคืนนี้เงียบสงัดยิ่งนัก ราวกับห้องแห่งความลับอันดำมืดทำให้ผู้คนหลงทางได้ในชั่วพริบตา มิอาจแยกแยะสิ่งใด
สายลมพัดมา ต้นไม้ไหวเอนส่งเสียงดังชี่ๆ ทำให้ฝูงนกตกใจจนบินทะยาน ถึงกระนั้นสตรีกลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย ราวกับจมลงสู่ห้วงความคิด
ผู้ติดโรคระบาดด้านล่างประตูเมืองส่วนใหญ่หลับแล้ว แต่หมอหลวงหลายคนยังคงคอยตรวจอาการพวกเขาตลอดคืนเพื่อป้องกันรอบด้าน
อวิ๋นซูมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวอย่างสงบนิ่ง ทว่ากลับรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางคิดมากมาย แต่กลับบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร ที่แท้โชคชะตาในชีวิตก่อนของตนก็เคยถูกควบคุมอยู่ในมือของไท่ซ่างหวง ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางรู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง นางกระทั่งสงสัยว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน…
“ซูเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” ไม่ทราบว่าเฟิ่งหลิงปรากฏตัวด้านหลังอวิ๋นซูตั้งแต่ยามใด เขาคลุมเสื้อให้นาง ในดวงตาลึกล้ำคล้ายจะมีเพียงสตรีเบื้องหน้า ฉายแววอบอุ่นออกมาเพื่อนางผู้เดียว
อวิ๋นซูหลุบตาลง ปล่อยให้เขาโอบกอดไหล่ของตนเช่นนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งดั่งค่ำคืนนี้ “ข้าเพียงกำลังคิดว่าศัตรูของพวกเรามีไพ่ในมือเท่าใดกันแน่”
เฟิ่งหลิงยกมือขึ้นจัดผมยุ่งเหยิงให้นางเบาๆ สัมผัสใบหน้านาง “พ่อตายังสอบสวนฉินอี้อยู่ คนผู้นี้จะต้องมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์แน่นอน”
อวิ๋นซูทอดถอนใจเบาๆ ซบไปที่ฝ่ามือของเขา “ข้ารู้แล้ว”
“เมื่อครู่ได้รับจดหมายจากหลานอวิ๋นแล้ว พวกเขาทำลายกองกำลังมือสังหารของไท่ซ่างหวงไปไม่น้อย ตอนนี้พวกเรายังปลอดภัย ในเมืองหลวงมีซือถูเจินผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีคอยประสานนอกในกับพวกเรา ตอนนี้อำนาจไท่ซ่างหวงกำลังอ่อนแอลง สงครามคราวนี้พวกเราจะต้องชนะแน่นอน!”