หมอพิษชั้นหนึ่ง - เล่มที่ 34 ตอนที่ 1002 ความวุ่นวายในแคว้นเหลียน
เล่มที่ 34 ตอนที่ 1002 ความวุ่นวายในแคว้นเหลียน
เงาร่างทั้งสองบนกำแพงอิงแอบซึ่งกันและกัน มือของบุรุษวางอยู่บนหลังมือของอวิ๋นซูเบาๆ ราวกับมีพลังอันไร้รูปลักษณ์ช่วยค้ำจุนพวกเขาให้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ขณะเดียวกันภายในเรือนกลางป่าเขา ในห้องอันสงบเงียบ ชานกงกงกำลังหวีผมให้ไท่ซ่างหวงอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไท่ซ่างหวงมองเส้นผมขาวโพลนของตนในกระจก หลุบตาลง มองแววตาไม่ชัดเจน ทั้งยังมองอารมณ์ไม่ออก นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงันกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ทว่ายังทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหนาวยะเยือก
สีหน้าของชานกงกงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างตั้งอกตั้งใจ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ การเคลื่อนไหวในมือกลับชะงักไป บนหวีถึงกับมีผมสีเงินติดมากระจุกหนึ่ง ไม่นานไท่ซ่างหวงก็เห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเขา
บุรุษที่นั่งอยู่ค่อยๆ เบนสายตาขึ้นมา ชานกงกงรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะขอชีวิตไม่หยุด “ไท่ซ่างหวงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไท่ซ่างหวงโปรดระงับโทสะ!”
ไท่ซ่างหวงค่อยๆ หันมา ท่าทางลึกล้ำเกินคาดเดา แววตาเต็มไปด้วยประสบการณ์โชกโชน ในยามที่เขาเห็นหวีในมือของอีกฝ่ายและเส้นผมบนนั้นแววตาพลันเกิดคลื่นบางอย่าง ค่อยๆ ยกมือขึ้นมองผิวหนังที่ไม่เนียนนุ่มเฉกเช่นกาลก่อนของตน ดวงตาเจือไปด้วยความตกใจ “เจิ้นชราขึ้นมากใช่หรือไม่?”
ชานกงกงตัวสั่น “ไม่พ่ะย่ะค่ะ ไท่ซ่างหวงยังทรงพระสิริโฉมงดงามเช่นตอนทรงพระเยาว์!”
ไท่ซ่างหวงค่อยๆ หลับตาทั้งสองลง เก็บซ่อนบรรยากาศบนร่างไว้ “คนตระกูลอู่เหล่านั้นเล่า?”
กล่าวจบพลันยกมือขึ้น ชานกงกงรีบเข้ามาประคอง คิดไม่ถึงว่าชั่วขณะต่อมาไท่ซ่างหวงกลับร่างกายโซเซ หมดสติล้มลงกับพื้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ
“ไท่ซ่างหวง? เด็กๆ รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!” สีหน้าชานกงกงตื่นตะลึงยิ่งนัก รีบตะโกนไปที่ประตูโดยพลัน
ไม่นาน ในห้องก็มีกลุ่มหมอหลวงแห่งตระกูลอู่จำนวนมากยืนออกันแน่น แต่ละคนพลัดกันมาจับชีพจร เมื่อเสร็จสิ้นทุกคนต่างขมวดคิ้วมุ่น
“ชานกงกง ไท่ซ่างหวง….ทรงมีพระวรกายอ่อนแอ เกรงว่า…”
ชานกงกงเข้าใจความหมายของพวกเขา ต่อให้ไท่ซ่างหวงใช้มือเดียวค้ำฟ้าเช่นไร สุดท้ายก็ยังเป็นคนธรรมดา ย่อมต้องมีวันแก่ชรา เขาติดตามไท่ซ่างหวงมานานหลายปีเช่นนี้น จะไม่รู้แผนการใหญ่ของไท่ซ่างหวงได้อย่างไร?
“ไม่ว่าจะใช้ยาอะไร จะต้องทำให้ไท่ซ่างหวงดีขึ้นให้ได้!”
“ขอรับ!”
บุรุษผมขาวบนเตียงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ผู้อาวุโสตระกูลอู่ทั้งหลายมารวมตัวอยู่ที่นั่นแล้ว
เขาพยายามลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ยาอายุวัฒนะเป็นเช่นไรบ้าง?”
ผู้อาวุโสเห็นดังนั้นจึงพากันคุกเข่าลง “ทูลไท่ซ่างหวง จากเทียบยาที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ พวกกระหม่อมศึกษามาหลายวัน จนตอนนี้ขาดเพียงโลหิตของเด็กชายเด็กหญิงอีกแปดร้อยคนก็จะมีโอกาสสำเร็จถึงแปดส่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซ่างหวงได้ยินพลันสูดหายใจลึก ปรายตามองเส้นผมของตน “เช่นนั้นก็ไปเถิด”
เขารอไม่ได้แล้ว ร่างกายนี้ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว ทว่าหากยังทำงานใหญ่ในใจเขาไม่สำเร็จ เขาจะตายไม่ได้!
จากนั้นไท่ซ่างหวงขยับนิ้วเบาๆ ชานกงกงที่อยู่ด้านข้างรีบเดินเข้ามา
“ไป รวบรวมกองทหารไปยังเจียงหนาน ไม่ว่าจะต้องสังหารคนมากเพียงไรก็ต้องต้องพาตัวหวงฝู่หลิงและกงซุนซูมา…มาให้เจิ้นเป็นๆ!”
ชานกงกงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ!”
ภายในพระราชวังแคว้นเหลียน ห้องทรงอักษร จักรพรรดิเหลียนขมวดขนงพลางทอดพระเนตรไปยังฎีกาในมือ สถานการณ์ตอนนี้ร้ายแรงมากจริงๆ แม้ข้างพระวรกายจะมีกำยานหอมส่งควันออกมาก็มิอาจทำให้พระองค์สงบพระทัยได้
ไม่นานก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยท่าทางร้อนรน “รายงาน! ทูลฝ่าบาท กองทหารของไท่ซ่างหวงกำลังรวมตัวกัน มุ่งหน้าไปยังเจียงหนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
อะไรนะ? จักรพรรดิเหลียนขมวดขนงแน่นยิ่งขึ้น เหตุใดจึงกะทันหันเพียงนี้? ยิ่งไปกว่านั้นยังเดินทางไปที่เจียงหนานพอดีด้วย? ไท่ซ่างหวง…มิใช่ว่าตลอดมาจะไม่ยอมทำเรื่องที่ไม่มั่นใจหรอกหรือ หรือเขารู้แล้วว่าตอนนี้พวกหลิงเอ๋อร์อยู่ที่เจียงหนาน? แต่เหตุใดเขาจึงโจมตีเจียงหนานก่อนเล่า?
จักรพรรดิเหลียนจมลงสู่การใคร่ครวญ ดวงเนตรฉลาดเฉลียวกวาดมองไปยังฎีกาที่วางซ้อนกันเป็นชั้นบนโต๊ะ ความคิดเริ่มกระจ่างชัด
ตอนนี้เจียงหนานกำลังเกิดโรคระบาด ชาวบ้านพากันหนีไปทั่วทุกสารทิศ เป็นสถานที่ที่การป้องกันอ่อนแอที่สุด การโจมตีเจียงหนานก่อนนับว่าเป็นการกระทำที่ฉลาดจริงๆ ที่สำคัญก็คือหากเสียเจียงหนานไป ไม่นานพื้นที่ภายในก็จะถูกโจมตี จากนั้น…
จักรพรรดิเหลียนรีบลุกขึ้นยืน ผ้าคลุมมังกรบนพระวรกายโบกสะบัด ดูท่าทางคงได้เวลาเผยตัวแล้ว!
“ถ่ายทอดราชโองการของเจิ้นออกไป เตรียมทำศึกที่เจียงหนานทันที!”
“กระหม่อมรับราชโองการ!”
ภายในค่ายทหาร ม้าศึกส่งเสียงดังกระหึ่ม ยืดตัวสูงราวกับรู้ว่าตนเองจะต้องเดินทางไปทำศึกแดนไกล ยกเท้าหน้าขึ้น เผยท่าทางข่มขู่ที่ไม่ธรรมดาออกมา
ทหารที่เข้าแถวเรียงรายอยู่เบื้องหน้าแต่ละคนสวมชุดเกราะเต็มตัว เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ สายตาคมกริบ ความห้าวหาญเช่นนั้นทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกเลือดร้อน!
จักรพรรดิเหลียนยืนอยู่บนที่สูง ทอดพระเนตรลงไปด้วยลักษณะของจักรพรรดิ ทว่าเมื่อเห็นม้าศึกที่วิ่งอย่างกระฉับกระเฉงเหล่านั้นพลันต้องเผยท่าทีตกใจออกมา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ม้าเหล่านั้นดูแตกต่างจากม้าตัวอื่นๆ ร่างกายพวกมันแข็งแรงเป็นพิเศษหรือไม่?”
แม่ทัพใหญ่ที่ติดตามอยู่ข้างพระวรกายจักรพรรดิเหลียนกล่าวตอบ “ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ตอนที่องค์ชายใหญ่จะออกไปจากค่ายเคยมอบเทียบยาไว้ให้กระหม่อมเทียบหนึ่ง ตรัสว่าใช้ผสมกับอาหารม้าทุกวันจะช่วยเพิ่มพลังของม้าศึกได้ ตอนแรกกระหม่อมไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ดูแล้วกระหม่อมต้องนับถือจริงๆ!”
แม่ทัพใหญ่หันไปมองม้าศึกเหล่านั้นด้วยท่าทางตื่นตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นม้าศึกที่เคยกินยาตามเทียบเหล่านั้นวิ่งเร็วกว่ามาเร็วถึงเท่าตัว พละกำลังมากล้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจริงๆ
ขณะนั้นเอง จักรพรรดิเหลียนพลันเข้าใจขึ้นมา คิดว่าต้องเป็นผลงานของอวิ๋นซูแน่นอน สตรีนางนั้นช่วยหลิงเอ๋อร์ได้มากจริงๆ
ไม่นานก็มีทหารสวมเกราะดำกลุ่มหนึ่งเดินมา ตัวเกราะส่องประกายคมกริบภายใต้แสงอาทิตย์สีทอง สีหน้าของทหารทุกนายพร้อมเผชิญการต่อสู้ ทุกย่างก้าวทำให้ผู้พบเห็นประทับใจลึกล้ำ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับพบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งจูงดรุณีน้อยนางหนึ่งยืนอยู่บนสนามฝึก ดูแปลกแยกจากบรรยากาศเกรียงไกรในยามนี้โดยสิ้นเชิง
จักรพรรดิเหลียนขมวดขนง ตรัสถามอย่างเคร่งขรึม “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? บุรุษผู้นั้นเป็นใคร? เหตุใดพาดรุณีน้อยมาที่สนามฝึกได้?”
แม่ทัพใหญ่มองไปตามสายพระเนตรของจักรพรรดิเหลียน จากนั้นจึงหัวเราะ “ฝ่าบาท ผู้นั้นคือใต้เท้ากู้ที่องค์ชายใหญ่แนะนำมา รับผิดชอบทำอาวุธและชุดเกราะพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิเหลียนดึงสายตากลับมา พระพักตร์แปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจกระจ่าง ที่แท้ก็เป็นเขา!
จักรพรรดิเหลียนพลันคิดถึงชุดเกราะที่กู้สวิ๋นฟางหลอมขึ้นมาในคราวนั้นเพื่อใช้ต่อกรกับยาพิษร้ายแรง เพียงแต่พระองค์รู้สึกเหนือคาดที่คนผู้นี้ยังหนุ่มเพียงนี้ นับเป็นบุรุษหนุ่มมากความสามารถจริงๆ!
ในดวงตาของแม่ทัพใหญ่เต็มไปด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปยังอาวุธและชุดเกราะที่สวมอยู่บนร่างของทหารของตนยิ่งทวีความนับถือ “ฝ่าบาทคงไม่ทราบ อาวุธที่ใต้เท้ากู้ท่านนี้หลอมร้ายกาจยิ่งนัก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ หากมิใช่ว่าใต้เท้ากู้แสดงให้กระหม่อมดูด้วยตนเอง กระหม่อมคงไม่กล้าเชื่อ ใต้หล้ายังมีบุคคลผู้มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย นับว่าสวรรค์เมตตาแคว้นเหลียนของเราจริงๆ!”
มุมพระโอษฐ์ของจักรพรรดิเหลียนยกขึ้นหลายส่วน “ได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ คงช่วยเพิ่มพลังอำนาจของกองทัพได้มากจริงๆ!”
“ฝ่าบาททรงตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก! กระหม่อมคิดว่าหากเผชิญหน้ากับกองทัพพิษของไท่ซ่างหวงตอนนี้ ทหารของกระหม่อมจะต้องได้รับชัยชนะแน่นอน!” แม่ทัพใหญ่มองไปยังภาพบรรยากาศเกรียงไกรเบื้องหน้า เขาไม่เคยมั่นใจเพียงนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้ราวกับมีเทพเซียนคอยช่วยเหลือก็มิปาน!
…
ภายในท้องพระโรง หลังคาโค้งกลมเปล่งประกายสีทองอร่าม พระที่นั่งอันน่าเกรงขามให้ความรู้สึกกดดันเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ขุนนางทั้งหลายเอาแต่สบตากัน ระยะนี้แคว้นเหลียนเกิดเรื่องมากมายไม่หยุดหย่อน สีหน้าของทุกคนย่ำแย่ ยามพูดถึงเรื่องโรคระบาดที่เจียงหนานก็พากันส่ายหน้า บรรยากาศเคร่งเครียดและกดดันจนผิดปกติ
ไม่นานจักรพรรดิเหลียนก็ปรากฏตัวบนยกพื้นสูง ดวงเนตรคมกริบทอดมองไปยังทุกคนที่อยู่ด้านล่าง
ขุนนางรีบโค้งตัวตะโกนเสียงดัง “ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี…”
“ขุนนางทุกท่านไม่ต้องมากมารยาท!” จักรพรรดิเหลียนตรัสเสียงขรึม ชายฉลองพระองค์สีทองแผ่ประกายน่าเกรงขาม “เชื่อว่าขุนนางทุกท่านคงได้ยินข่าวมาแล้ว กองกำลังห้าหมื่นของไท่ซ่างหวงปรากฏตัวที่เจียงหนาน แคว้นเหลียนไม่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายภายในเช่นนี้มาร้อยปีแล้ว สร้างความโกลาหลให้ราชวงศ์ของพวกเรายิ่งนัก การกระทำละเลยกฎหมายเช่นนี้ เจิ้นตัดสินใจส่งกองทัพไปหยุดยั้งทันที! แม่ทัพหลิว เจิ้นขอสั่งให้เจ้ารีบนำทัพไปที่เจียงหนานทันที จัดการกับทหารผิดกฎหมายเหล่านั้นเสีย!”
สุรเสียงอันแกร่งกร้าวดังก้องอยู่ในท้องพระโรง ทำให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งนัก เพียงแต่เนิ่นนานผ่านไปแม่ทัพร่างกำยำกลับไม่เคลื่อนไหว ราวกับไม่ได้ยินก็มิปาน
จักรพรรดิเหลียนหรี่พระเนตร ตรัสด้วยสุรเสียงโกรธเกรี้ยว “แม่ทัพหลิวหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดไม่มารับราชโองการ?”
แม่ทัพหลิวผู้นั้นถึงกับไม่ขยับเขยื้อน จักรพรรดิเหลียนและซือถูเจินสบตากัน เข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ย จากนั้นในขณะที่จักรพรรดิเหลียนกำลังจะตรัสขึ้นอีกครั้ง แม่ทัพหลิวพลันเดินก้าวออกมา เพียงแต่คำพูดกลับแตกต่างออกไป
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไท่ซ่างหวงส่งกองทัพไปที่เจียงหนาน ความจริงเพราะจะไปควบคุมชาวบ้านที่กำลังสับสนวุ่นวาย เจียงหนานเกิดโรคระบาดทำให้หัวใจประชาชนสั่นคลอน ชาวบ้านไม่เพียงแต่จะไม่ซาบซึ้งในความช่วยเหลือของราชสำนัก กลับกระตุ้นให้ผู้ไม่รู้มาต่อต้านแคว้นเหลียนของพวกเรา ไท่ซ่างหวงทำเพื่อความสงบของแคว้นเหลียน มิได้มีเจตนายั่วยุฝ่าบาท”
ดวงเนตรของจักรพรรดิเหลียนเกิดประกายอันตราย มุมพระโอษฐ์เม้มแน่น “กล่าวเช่นนี้เจ้าจะต่อต้านราชโองการใช่หรือไม่?”
แม่ทัพหลิวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงซื่อสัตย์จริงใจยิ่งนัก “กระหม่อมเพียงไม่อยากให้ไท่ซ่างหวงและฝ่าบาทต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันเองจนราชสำนักวุ่นวาย!”
“โอหัง!” จักรพรรดิเหลียนตรัสด้วยสุรเสียงโกรธเกรี้ยว “แคว้นมีกฎแคว้น บ้านมีกฎบ้าน ในเมื่อเจิ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียน ไท่ซ่างหวงลงจากบัลลังก์เก็บซ่อนตัวในเขาลึกแล้วก็ไม่ควรยื่นมือมาเคลื่อนย้ายกองทหารตามอำเภอใจ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์พ่อลูก นี่เป็นเรื่องของแผ่นดิน!”
แม่ทัพหลิวขมวดคิ้วแน่น แต่ยังคงเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงยืนหยัดหนักแน่น “กระหม่อมคิดว่าไท่ซ่างหวงเพียงต้องการช่วยฝ่าบาทสงบความวุ่นวาย ฝ่าบาทโปรดพิจารณา!”
จักรพรรดิเหลียนหรี่พระเนตร อดไม่ได้ที่จะสรวลเสียงเย็น แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “คิดไม่ถึงว่าคำสั่งของเจิ้นจะมีคนกล้าต่อต้าน!”
พระองค์ตบบัลลังก์ พระพักตร์เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว!
ทุกคนพากันคุกเข่าลง “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!”
“เด็กๆ!” จักรพรรดิเหลียนโบกพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง ดวงเนตรคมกริบดุจมีดทอดมองไปยังทุกคนในท้องพระโรง “นำตัวแม่ทัพหลิวออกไป ปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ ขังคุกสวรรค์รอการไต่สวน!”
แม่ทัพหลิวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หมุนตัวไปยืดอกขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมมีป้ายทองละเว้นโทษตาย! ฝ่าบาททำเช่นนี้กับกระหม่อมมิได้…”
จักรพรรดิเหลียนสรวลเบาๆ ดวงเนตรเปี่ยมไปด้วยความไม่พอพระทัย “ป้ายทองนี้เป็นไท่ซ่างหวงประทานให้เมื่อปีนั้น ตอนนี้แผ่นดินนี้เป็นของเจิ้น! วางใจเถิด แม่ทัพหลิวสร้างผลงานมากมาย เจิ้นย่อมไม่เอาชีวิตเจ้า แต่จะไม่ปล่อยให้เจ้าก่อความวุ่นวายในแผ่นดินของเจิ้นเป็นแน่ ลากตัวออกไป!”
ทุกคนในท้องพระโรงตื่นตะลึงยิ่งนัก ไม่กล้าส่งเสียงโน้มน้าวออกมาอีก กระทั่งสีหน้ายังเกิดความสงสัยขึ้นมา เหตุใดวันนี้ฝ่าบาทจึงแข็งกร้าวเพียงนี้ แตกต่างจากยามปกติราวกับเป็นคนละคน!
ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่…