บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 363: แสงหิ่งห้อย
ตอนที่ 363: แสงหิ่งห้อย
ตอนที่ 363: แสงหิ่งห้อย
“ข้าแพ้…”
ในระยะไกล ฉู่อวี้โค่วเจ้าสำนักวงเดือนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า มือและเท้าของเขาหนาวเหน็บ
ในใจของเขา ผู้อาวุโสสูงสุดชิวเหิงคงเป็นตัวตนไร้เทียมทานที่สุด ผู้คอยค้ำจุนสำนัก และเป็นตัวตนที่ช่วยให้ผู้ฝึกตนทั้งโลกกริ่งเกรงสำนักวงเดือน
นอกจากนี้ หลังจากเก็บตัวถึงห้าสิบปีเพื่อฝึกฝนวิถีดาบ ชิวเหิงคงควรจะเป็นผู้ทำให้โลกตกตะลึงเมื่อในยามกลับมา ไม่ใช่กลายเป็นมาโดนคนหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีเอาชนะเช่นนี้!
ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ซูอี้ออกดาบเพียงเก้าครั้งเท่านั้น!
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
ทุกคนในสำนักวงเดือนต่างโง่งมและเสียสติ
ก่อนหน้านี้ ซูอี้เคยเอ่ยว่าภายในสิบกระบวนท่า ถ้าชิวเหิงคงไม่แพ้ เขาจะให้ทางรอดแก่สำนักวงเดือน ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาต่างรู้สึกขุ่นเคืองและเย้ยหยัน
แต่ตอนนี้ ชิวเหิงคงไม่สามารถรับได้ถึงสิบดาบ… ใครบ้างที่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้
“คุณชายชนะแล้ว!!”
ฉาจิ่นตื่นเต้น ดวงตาที่สวยงามของนางเป็นประกายและร่างกายของนางผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ราวกับหินก้อนใหญ่ที่เคยทับอยู่บนบ่าได้หายไป
ขณะนี้พระอาทิตย์กำลังอัสดงและยามราตรีเริ่มคืบคลาน
กลางอากาศ
ซูอี้มองไปที่ชิวเหิงคงในระยะไกลและกล่าวว่า “ข้าฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้ นับว่าหายากที่จะพบคู่ต่อสู้เช่นเจ้าที่คู่ควรกับคำว่านักดาบ มันจะเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งหากข้าสังหารเจ้าในวันนี้”
หลังจบคำพูด ซูอี้จึงเก็บดาบเข้าจี้หยกตามเดิม
ชิวเหิงคงตกตะลึง คิ้วของเขาเลิกขึ้นอย่างโง่งม เพียงเพราะเหตุผลดังกล่าวตัวเขาจึงรอดชีวิต?
“ความคิดของสหายเต๋า ชิวผู้นี้ประหลาดใจยิ่ง!”
แต่ทว่าหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เขาก็ก้มศีรษะและกล่าวต่อ “แต่เป็นเพียงว่าชิวผู้นี้คือหนึ่งในคนของสำนักวงเดือนเช่นกัน ท้ายที่สุดข้าไม่อาจยืนเฉยมองดูท่านสังหารคนร่วมสำนักได้โดยไม่ทำสิ่งใด!”
เสียงเอ่ยดังชัดกังวาน
นี่คือบุคคลผู้ไม่เกรงกลัวต่อความตายอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์ลุง…”
ฉู่อวี้โค่วเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เศร้าโศกและรู้สึกผิด “มันเป็นความผิดของพวกข้าคนรุ่นหลังเองที่ไร้ความสามารถจนเป็นผลให้ท่านและสำนักต้องลำบาก”
หลายคนของสำนักวงเดือนต่างอัดอั้นไม่กล้าเงยหน้ามอง
แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น
ผู้ใดจะมองไม่ออกบ้างว่าต่อให้ชิวเหิงคงต่อสู้จนตัวตาย เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อใดที่ซูอี้สังหารเสาหลักของสำนักพวกเขา ในไม่ช้าสำนักวงเดือนจะถูกสำนักอื่นรุมกันกลืนกินในท้ายที่สุด!
“ฮึ่ม!”
ซูอี้มองดูฉู่อวี้โค่วและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้าต้องการแก้แค้น เจ้าควรประกาศสงครามกับซูผู้นี้โดยตรง ไม่ใช่ใช้กลอุบายที่น่ารังเกียจเพื่อจัดการกับข้าและคนรอบกายข้า การกระทำของเจ้ามันช่างไร้ศักดิ์ศรีอย่างน่าสังเวชนัก!”
สีหน้าของฉู่อวี้โค่วแปรเปลี่ยนในทันที
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวตอบ ซูอี้ก็พูดต่ออย่างเย็นชาอีกครั้ง “แต่ตราบใดที่เจ้ากล้ารับดาบข้าหนึ่งดาบ วันนี้ข้าจะยอมปล่อยสำนักวงเดือนที่เหลือไป เจ้ากล้าหรือไม่?”
ชิวเหิงคงหรี่ตาในทันใด หลังจากต่อสู้กับซูอี้ เขารู้แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของซูอี้นั้นน่ากลัวเพียงใด
หากเป็นฉู่อวี้โค่ว…คงรับดาบซูอี้ไม่ได้แม้เพียงสักหนึ่ง…
“เจ้าสำนัก…”
ชิวเหิงคงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉู่อวี้โค่วเอ่ยขึ้นขัดด้วยสีหน้าหนักแน่น “ท่านอาจารย์ลุง ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองได้!”
หลังจากพูดจบ ฉู่อวี้โค่วทะยานขึ้นไปในอากาศ เผชิญหน้ากับซูอี้ และกล่าวว่า “ฉู่อวี้โค่วเจ้าสำนักวงเดือน โปรดชี้แนะข้าด้วย!”
เสียงพูดประโยคนี้แพร่กระจายไปทั่วหล้า
นี่คือการรับการแก้แค้นจากซูอี้ด้วยตัวเขาเอง
ซูอี้ไม่พูดพร่ำไร้สาระ ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าปรากฏขึ้นในมืออีกครั้งก่อนจะยกขึ้นเหนือหัวและสับฟัน!
ดูคล้ายกับดาบธรรมดา
แต่ทว่าเสี้ยวพริบตาที่ซูอี้ยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าพลันปะทุปราณดาบสูงร้อยจั้ง ปราณดาบนั้นสูงจนคล้ายกับอาจจะทะลวงขึ้นไปถึงสวรรค์ คลื่นพลังจากดาบนั้นกดขี่จนแม้แต่ภูเขายังสั่นสะเทือนแม่น้ำปั่นป่วน ความมืดมิดยามราตรีกลับกลายเป็นมีแสงสว่าง
ทุกสิ่งกลับตาลปัตรพิสดาร!
ชิวเหิงคงเตรียมพร้อมที่จะช่วยฉู่อวี้โค่วต้านทานดาบของซูอี้อยู่ก่อนแล้ว
แต่ทว่าเมื่อซูอี้ฟันดาบนี้ออก ชิวเหิงคงกลับรู้สึกกลัวจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ร่างกายของเขาแข็งค้าง จิตวิญญาณและสัญชาตญาณกรีดร้องไม่ให้เขาเคลื่อนที่ออกไปรับดาบนี้
เมื่อเผชิญหน้ากับดาบนี้ เขารู้สึกไม่ต่างกับตนเองเป็นเพียงแมลงเม่าที่กำลังเผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์ หมดหนทางและสิ้นหวัง
แต่ทว่าชิวเหิงคงยังคงเด็ดเดี่ยว เขากัดลิ้นตัวเองเพื่อดึงสติและพุ่งตัวออกไปในท้ายที่สุด
ตูม!
ยังไม่ทันที่ชิวเหิงคงจะได้ทันรับปะทะปราณดาบยาวหนึ่งร้อยจั้งของซูอี้ แค่เขาใกล้ถึงระยะสามฉื่อ ร่างของเขากลับถูกคลื่นกดดันจากปราณดาบอัดจนกระเด็นถอยหลังไปราวกับว่าวสายป่านขาด
จากนั้นปราณดาบยังคงเคลื่อนฟันลงไปที่ฉู่อวี้โค่ว หัวใจของฉู่อวี้โค่วแทบแหลกสลาย เขาตะลึงใจอย่างมากกับพลังดาบอันน่าสะพรึงกลัว เขายืนนิ่งค้างกลางอากาศราวกับว่าหวาดกลัวจนตัวแข็ง ไม่แสดงท่าทีต่อต้านอย่างที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม เมื่อปราณดาบไปถึงสามฉื่อเหนือศีรษะของฉู่อวี้โค่ว มันกลับหยุดอย่างกะทันหัน
ทั้งร่างของฉู่อวี้โค่วชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงได้สติก่อนจะพูดอย่างงุนงงว่า “ข้า… ข้ายังไม่ตายงั้นหรือ?”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่แสดงอาการเช่นนี้ ผู้คนของสำนักวงเดือนทั้งหมดเมื่อพวกเขาเห็นพลังของดาบของซูอี้ พวกเขาต่างมีความรู้สึกคล้ายกับถูกอภัยโทษ ทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
น่ากลัวเหลือเกิน!
เมื่อเทียบกับเก้าดาบก่อนหน้านี้ที่ซูอี้สำแดงออก ดาบที่สิบของซูอี้นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่มีทางหนีและไม่อาจต้านทานได้อย่างแท้จริง!
แลเห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าแม้กระทั่งตัวตนอย่างชิวเหิงคงยังไม่อาจต้านทานได้แม้แต่คลื่นกดดันจากปราณดาบนี้?
บรึม!
ทันใดนั้นปราณกระบี่ยาวร้อยจั้งจู่ ๆ ก็ระเบิดออกสร้างคลื่นกระแทกทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว ฉู่อวี้โค่วซึ่งอยู่ใกล้กับจุดระเบิดที่สุดกระเด็นร่วงหล่นจากอากาศกระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนเป็นหลุมยุบลึก ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกหักและแตกไม่รู้กี่แห่ง เขาแสดงสีหน้าเจ็บทรมานอย่างสุดแสน
ทันทีที่ปราณดาบร้อยจั้งระเบิดสลายและหายไป…
ในระยะไกลชิวเหิงคงโค้งคำนับและกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณสหายเต๋ายิ่งสำหรับความเมตตาของท่าน!”
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “ที่จริงแล้วดาบนี้มีไว้สำหรับเจ้า หากเมื่อครู่เจ้าหวาดกลัวจนไม่กล้าเผชิญรับมัน ฉู่อวี้โค่วผู้นี้จะไม่มีชีวิตรอด”
หลังจากพูดจบซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าและเอ่ยคำสั้น “นี่คือจุดจบของเรื่องราวคราวนี้”
ชิวเหิงคงสั่นสะท้านและเข้าใจทันทีว่าดาบของซูอี้เมื่อครู่นี้ไม่ใช่แค่เพียงบททดสอบความกล้าหาญของฉู่อวี้โค่วเท่านั้น แต่มันเป็นบททดสอบสำหรับตัวเขาด้วย
หากเขาไม่รุดออกไปรับดาบเพราะความกลัว ผลที่ตามมาก็คือตามที่ซูอี้พูด ฉู่อวี้โค่วจะต้องตาย!
“บัดนี้ความไม่เข้าใจของชิวกระจ่างแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับสหายเต๋าแล้ว วิถีดาบของชิวเปรียบได้แค่เพียงแสงจากหิ่งห้อย”
ชิวเหิงคงถอนหายใจ
ขณะนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการต่อสู้ที่ผ่านมา ซูอี้ยั้งมือให้เสมอ?
ไม่เช่นนั้น เพียงแค่ใช้ดาบที่สิบเมื่อครู่นี้เพียงครั้งเดียวทุกอย่างจะจบลงในพริบตา!
“ข้าสร้างสำนักชื่อ ‘สำนักเสวียนจวิน’ ในต้าโจว หากอนาคตเจ้าประสบปัญหาคอขวดในวิถีดาบ เจ้าอาจพิจารณาเข้าร่วมสำนักข้า เมื่อถึงเวลานั้น ข้าไม่รังเกียจที่จะชี้แนะเจ้าเกี่ยวกับข้อสงสัยของเจ้า”
“ฉาจิ่น พวกเราไปกันเถิด” ซูอี้พูดแล้วหันหลังกลับ
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงอันเลือนราง ร่างของซูอี้และฉาจิ่นค่อย ๆ บินลอยไกลจนลับหายไป
ดังที่ซูอี้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนมืดสิ่งต่าง ๆ จะจบลง
เมื่อมองดูพวกเขาจากไป ฉู่อวี้โค่วดูมึนงงราวกับเขาไม่อยากเชื่อว่าซูอี้จะปล่อยให้พวกเขาสำนักวงเดือนรอดชีวิตเช่นนี้
ชิวเหิงคงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเมื่อเขาได้สติ ก็พลันโค้งคำนับไปทางที่ซูอี้จากไป
“ชิวเหิงคงผู้นี้ขอคารวะสหายเต๋าจากใจกับการมอบโอกาสให้ได้ทำลายคอขวดของวิถีดาบ!!”
น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างชัดเจน และมีความซาบซึ้งเจืออยู่อย่างไม่ปิดบัง
ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้รู้สึกจนกระทั่งจิตใจของเขาสงบลง เมื่อเขานึกถึงดาบสุดท้ายของซูอี้ที่ฟันออกเมื่อครู่นี้ ยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความลึกลับของมันมากเท่านั้นและมันเริ่มทำให้เขารู้แจ้งในวิถีดาบมากขึ้นเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุด ร่างทั้งร่างของเขาปะทุปราณดาบรุนแรงราวกับทำลายอุปสรรคที่มองไม่เห็น ผู้คนโดยรอบต่างสัมผัสได้ถึงพลังของชิวเหิงคงที่เพิ่มมากขึ้น
ในเวลานี้เองที่ชิวเหิงคงได้ตระหนักว่าดาบที่สิบของซูอี้ไม่ได้เป็นเพียงการทดสอบสำหรับฉู่อวี้โค่วและตัวเขา แต่ยังเป็นการชี้แนะวิถีดาบให้แก่เขาด้วย!
เฉพาะเมื่อเจ้าไม่กลัวความตายและเผชิญหน้ากับดาบของข้า เจ้าจึงจะสัมผัสได้ถึงความลึกลับที่มีอยู่ในดาบข้าและใช้มันเป็นดั่งเข็มทิศนำทางไปสู่การบรรลุ!
“อาจารย์ลุง เขา… เขาช่วยท่านทำลายคอขวดวิถีดาบของท่านอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่อวี้โค่วตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ชิวเหิงคงเต็มไปด้วยอารมณ์และกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “แม้ว่าสหายเต๋าซูอี้ผู้นี้จะยังอายุน้อย แต่ความใจกว้างและนิสัยที่ไม่ธรรมดาของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าผู้ชรารู้สึกละอายใจ!”
เขาคิดกับตัวเอง “บางทีหลังจากนี้ข้าอาจจะลองไปที่สำนักเสวียนจวินดู…”
“แต่… แต่เขาเป็นผู้สังหารคนสำนักเรา…”
ใบหน้าของฉู่อวี้โค่วเต็มไปด้วยความขมขื่น
ชิวเหิงคงถามกลับ “ตั้งแต่แรก ทำไมอวิ๋นจงฉีถึงไปที่ต้าโจว?”
ฉู่อวี้โค่วเงียบไปครู่หนึ่ง
อวิ๋นจงฉีเดินทางออกจากต้าเว่ยไปยังต้าโจวนั้นไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากหวังที่จะสืบรู้ความลับและฉกฉวยทุกสิ่งที่ซูอี้มี
แต่ทว่าเรื่องที่น่าละอายแบบนี้จะให้เขาเอ่ยออกต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร?
“เมื่อครู่นี้ ถ้าซูอี้มีเจตนาที่จะทำลายสำนักของเราจริง เขาก็สามารถทำได้สำเร็จอย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ เช่นนั้นแล้ว เราจะยังถือว่าเขาเป็นศัตรูได้อย่างไร?”
จบประโยคนี้ชิวเหิงคงไม่ได้ถามคำถามใด ๆ อีกต่อไปและออกคำสั่งโดยตรงว่า “นับจากนี้อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
ฉู่อวี้โค่วสะดุ้งและกล่าวรับคำ “ทราบแล้วท่านอาจารย์ลุง!”
ความจริงที่โหดร้ายที่เขาต้องยอมรับก็คือ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสำนักวงเดือนผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเว่ย แต่ถ้าหากต้องการเป็นศัตรูกับซูอี้ พวกเขานับว่าไม่มีคุณสมบัติพอ!
บริเวณประตูตีนเขาสำนักวงเดือน
หงหยางและเสอจื่ออิ๋งได้เห็นการต่อสู้ระหว่างซูอี้และชิวเหิงคงเต็มสองตา พวกเขาต่างหวาดกลัวจนหน้าซีดราว ทั้งร่างเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพวกเขาไล่และเยาะเย้ย ตอนนี้หาได้มีความสนใจที่จะบดขยี้พวกเขาและไม่แม้แต่จะแลมองราวกับพวกเขาเป็นมดตัวหนึ่ง
วันที่สิบเจ็ดเดือนห้า
ซูอี้รุกล้ำเข้าสำนักวงเดือนและเอาชนะชิวเหิงคงนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดไป คนทั้งโลกต่างตกตะลึง
นครหลวงเทียนเชวีย
เมื่อได้ยินข่าว เหล่าผู้คนของตระกูลเสิ่นต่างตกตะลึงและเกิดความโกลาหลขึ้น
“ชิวเหิงคงนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ยพ่ายแพ้ให้แก่ซูอี้? เช่นนี้แล้วผู้ใดในต้าเว่ยยังจะสามารถเป็นคู่ต่อกรของซูอี้ได้อีก?”
หากข้ารู้ก่อนหน้าว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่จำเป็นต้องสนใจการข่มขู่จากสำนักวงเดือนแม้แต่น้อย!
“น้องสาวของข้า ไม่ใช่ว่าอนาคตนางจะทะยานสูงไปถึงชั้นฟ้าเลยงั้นหรือ?”
เสิ่นเหยียนสิงตกตะลึง
“บัดซบ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร…”
ใบหน้าของผู้อาวุโสเสิ่นซานจ้งซีดเผือดราวกับว่าเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้
เดิมทีเขาคาดหวังให้ซูอี้ถูกสังหารโดยสำนักวงเดือน แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าสำนักวงเดือนจะเป็นผู้พ่ายแพ้!
เพียะ!
เสียงตบอันดังลั่นนี้เกิดจากการที่เสิ่นซานจ้งถูกตบหน้าอย่างแรงจนแก้มของเขาแดงและบวมเป่ง
จากนั้นเสิ่นฉางคงคว้าคอของเสิ่นซานจ้ง เขากัดฟันกรอดและตวาด “ไอ้สุนัขเฒ่า มันเป็นเพราะเจ้าที่เสนอมอบฉาจิ่นของข้าไป ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์วันนี้คงไม่เกิดขึ้น เจ้า! เจ้าทำให้ทุกสิ่งอย่างมันเลวร้าย ความผิดทั้งหมดมันเกิดจากเจ้า!”
เสิ่นซานจ้งโกรธเช่นกัน เขาพยายามโต้แย้ง “ข้าจะล่วงรู้ได้อย่างไรว่าซูอี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้???”
จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงมีแต่การโต้เถียงกันอย่างน่าอับอาย