บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 695: วจีสะกดวิญญาณ
ตอนที่ 695: วจีสะกดวิญญาณ
ผู้มาคือเวิงจิ่ว
ซูอี้ไม่แปลกใจ หลังจากเข้าสู่นครหลวงจิ๋วติ่ง เขาก็ตระหนักว่าทหารซึ่งกระจายอยู่ทั่วต้าเซี่ยรู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว
คงแปลกหากเวิงจิ่วไม่มาหาเขา
“สหายเต๋า นายข้าส่งคนไปทำความสะอาดสวนน้อยนภาเมฆรอท่านอยู่แล้ว”
เวิงจิ่วกล่าวยิ้ม ๆ “นอกจากนั้น เมื่อท่านพักผ่อนเต็มที่ นายข้าจะไปหาสหายเต๋าด้วยตนเอง”
เขาดูยินดีนัก
“สวนน้อยนภาเมฆ?”
ซูอี้อดแสดงสีหน้าระลึกถึงไม่ได้ กล่าวว่า “ไปกันเถิด”
กลุ่มคนทั้งหมดขึ้นรถศึกสำริด เดินทางกับเวิงจิ่วสู่สวนน้อยนภาเมฆ ณ แอ่งเกล็ดทองทันที
วสันตฤดูกำลังอยู่ในช่วงพอเหมาะ สายลมอุ่นโชยเบา ต้นหลิวสีเขียวโบกไหว ดอกไม้เกิดใหม่เบ่งบาน
สวนน้อยนภาเมฆดูใหม่เอี่ยม
ซูอี้ยังคงจำยามที่เขาจากจรได้ อากาศรอบข้างช่างหนาวเหน็บ พื้นเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง ความหนาวเหน็บสังหารพืชพันธุ์ทั้งหมด ต้นไม้ใบหญ้าในสวนล้วนเหี่ยวเฉา
เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่ง ป่าไผ่เขียวชอุ่ม บ่อน้ำและลำธารหลั่งไหลเยี่ยงสายรัดเอวหยก วสันต์ปรากฏทุกแห่งหน
ทว่าเมื่อซูอี้มองไปรอบ ๆ สวน จมูกของเขาก็ขยับเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ มีผู้ใดอยู่ที่นี่หรือ?”
เวิงจิ่วอดแปลกใจไม่ได้ แล้วจึงกล่าวขึ้น “ท่านค้นพบได้เยี่ยงไร?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “บังเอิญดมเจอกลิ่นที่ต่างออกไปน่ะ”
“อย่างนี้เอง”
เวิงจิ่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “กล่าวตามตรง เมื่อสองสามวันก่อน มารดาขององค์หญิงชิงหยวนและคณะของนางมาอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง แต่พวกนางย้ายออกไปสองสามวันแล้ว”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “สหายเต๋าอย่าห่วงเลย ทุกสิ่งในสวนน้อยนภาเมฆถูกเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขากล่าวอย่างสนใจมาก “บอกข้าเกี่ยวกับแม่ของเซี่ยชิงหยวนได้หรือไม่?”
เวิงจิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สหายเต๋า ตาเฒ่าผู้น้อยไม่กล้ากล่าวเรื่องนี้ กล่าวได้เพียงว่ามารดาขององค์หญิงชิงหยวนเป็นสตรีคนโปรดที่สุดของฝ่าบาท ทว่านางจากต้าเซี่ยไปหลายปีแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ …หากท่านสนใจจริง ๆ คงดีที่สุดหากถามฝ่าบาทด้วยตนเอง”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “ได้”
หลังจากทุกสิ่งถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เวิงจิ่วก็รีบร้อนจากไป
ซูอี้หยิบเก้าอี้หวายออกมา เอนกายนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างสระน้ำในสวน
น้ำในบ่อทอประกาย ใบบัวลอยเอื่อย หมู่ปลาคาร์ปว่ายวน กระโดดขึ้นจากน้ำสร้างรอยกระเพื่อมเป็นวงเป็นครั้งคราว
“ไม่ได้เห็นพวกมันมาสองสามเดือน แต่ปลาเหล่านี้ผอมซูบหิวโซนัก”
ซูอี้หยิบผีเสื้อจันทราออกมาเป็นเหยื่อ โยนลงสู่บ่อน้ำ ซึ่งเรียกกลุ่มปลาคาร์ปวิญญาณมาไล่ยื้อแย่งกันทันที
“ศิษย์พี่ซู ข้าวางแผนพาอาจารย์และชิงหยาไปซื้อของในเมือง แล้วท่านเล่า?”
เหวินซินจ้าวมาหาเขา พลางกล่าวยิ้ม ๆ
ดวงตาของหญิงสาวสว่างไสว ใบหน้างดงามน่ารัก การวางตัวเรียบง่ายชดช้อย
“พวกเจ้าไปเถิด”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
เขาไม่เคยสนใจเรื่องการจ่ายตลาด แต่นาน ๆ ครั้งเขาก็จะไปเดินเล่นท่ามกลางความอึกทึกของตลาดเช่นกัน
“โอ้ เช่นนั้นเราไปกันเถิด”
เหวินซินจ้าวโบกมือ
ไม่นานนัก นางก็จากไปพร้อมกับเซียนหานเยียนและชิงหยา
กาลเวลาผันผ่าน
เงาของต้นไม้ใบหญ้าในสวนค่อย ๆ เคลื่อนคล้อย แสงเงาประสานกัน
ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวาย ดูเหมือนเคลิ้มหลับ แต่ที่แท้เขากำลังควบรวมพลังของมหาวิถีในอารามวิญญาณของเขาอยู่
ในระหว่างเดินทางมายังต้าเซี่ย เขาได้หล่อหลอมจังหวะวิถีห้าธาตุ วาตะอสนี และหยินหยางมาโดยตลอด
จวบยามนี้ สามจังหวะวิถีก็เริ่มหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และค่อย ๆ เผยเสน่ห์อันต่างออกไปโดยสิ้นเชิงออกมา
มันคือกลิ่นอายซึ่งเป็นของ ‘แก่นแท้จุดกำเนิด’
“อารามวิญญาณก็เหมือนครรภ์มารดาสำหรับมนุษย์ ส่วนมหาวิถีซึ่งหล่อหลอมสู่จุดกำเนิดก็คือคำว่า ‘มหา’ ซึ่งเติมอยู่หน้ามหาปราชญ์สรรค์ และยังเป็นจุดเริ่มต้นแห่งวิถีวิญญาณ”
“เมื่อหล่อหลอมจังหวะวิถีทั้งสามสู่แก่นแท้จุดกำเนิดด้วยพลังแห่งมหาวิถี มันจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘วิถีวิญญาณ’ ที่แท้จริง!”
“จากความคืบหน้านี้ ภายในเจ็ดวัน เมื่อสามจังหวะวิถีรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง ยามนั้นความแข็งแกร่งของข้าจะพัฒนาไปมากแน่นอน”
“ทว่าการหล่อหลอมจังหวะวิถีเหล่านี้ต้องขัดเกลาทีละน้อย…”
ซูอี้ครุ่นคิดเงียบ ๆ
วิถีต้นกำเนิดคือการฝึกฝนจังหวะวิถี
และเส้นทางของวิถีวิญญาณก็คือการฝึกฝนแก่นแท้แห่งเต๋า!
การขัดเกลาเสริมแกร่งแก่นแท้แห่งเต๋านั้นถูกแบ่งออกเป็นสี่สภาวะ นั่นคือต่ำ กลาง สูงและสมบูรณ์แบบ
ยิ่งบรรลุพลังแก่นแท้แห่งเต๋าที่แข็งแกร่ง เขาจะยิ่งสัมผัสพลังจากทั่วฟ้าดินและควบคุมแก่นแท้แห่งเต๋าระหว่างการต่อสู้ได้ง่าย และอำนาจของเขาจะยิ่งร้ายกาจ
พลบค่ำค่อย ๆ มาเยือน
แสงอัสดงงดงามเฉิดฉาย แสงริบหรี่นี้บ่งบอกเพียงการผันเปลี่ยนระหว่างวันคืน สร้างบรรยากาศที่ทั้งกระจ่างใสและมืดมัว
การปรากฏของแก่นแท้แห่งเต๋ายามแรกย่างสู่วิถีต้นกำเนิดก็มีเสน่ห์เฉกเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็กระโจนข้ามกำแพงเข้ามาในสวน
เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีเหลือง สีหน้าอบอุ่นเยี่ยงหยก ถือพัดหยกไว้เล่มหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเขามาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่กลับดูใจเย็นเอ้อละเหยราวกับอยู่ในสวนบ้านตนเอง
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองมองไปรอบ ๆ และหยุดที่ซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างสระน้ำ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?”
ซูอี้กล่าว “ยังมีปีศาจอีกตน”
“ปีศาจ?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองประหลาดใจ “อยู่หนใด ไฉนข้าจึงไม่เห็นเล่า?”
ซูอี้กล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้าคือปีศาจหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่รู้มาก่อนเลยว่าสายตาของเจ้าหนูนี่จะร้ายกาจเพียงนี้! ได้ยินว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมีแขกผู้มีเกียรติผู้หนึ่งซึ่งอาศัยในสวนน้อยนภาเมฆนี้ ไม่ใช่ว่านั่น… คือเจ้าหรือ?”
ซูอี้นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้หวาย เขากล่าวช้า ๆ โดยไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง “อย่าพูดไร้สาระ บอกจุดประสงค์ของเจ้ามาก็พอ”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองขมวดคิ้ว และอดประเมินซูอี้ใหม่ไม่ได้
ชายหนุ่มผู้เอนร่างบนเก้าอี้หวายท่ามกลางแสงยามพลบค่ำ หลับตาลงราวกำลังพักผ่อน ทำให้บรรยากาศดูลึกลับ
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองก็กล่าวว่า “ข้าไม่มีสิ่งอื่นต้องทำที่นี่ แค่อยากมาดูว่าแขกผู้มีเกียรติของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหน้าตาเป็นเช่นไร มีระดับฝึกฝนและที่มาที่ไปเช่นไร”
“อย่างนั้นหรือ? เหมือนจะมาประเมินศัตรูก่อนฆ่างั้นสิ”
ซูอี้ยืดเอวขึ้นจากเก้าอี้หวาย ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และกล่าวสบายอารมณ์ “เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าอับอาย ทิ้งแขนไว้ที่นี่หนึ่งข้าง แล้วเจ้าจะกลับไปพร้อมชีวิต”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองอึ้งค้างราวไม่อาจเชื่อหูตน
ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะอย่างทึ่มทื่อ ตบพัดหยกในมือ และเปลวเพลิงพิศวงสีม่วงก็ฉายในดวงตา ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้น… ข้าเกรงว่ามันคงขึ้นกับว่าเจ้าจะมีปัญญาทำเช่นนั้นหรือไม่”
ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ทุกถ้อยคำก็แฝงด้วยจังหวะพิกลก้องในสวนยามสนธยาราวกับเสียงกระซิบแห่งภูตพราย
ต้นไม้ใบหญ้าใกล้เคียงสั่นไหวระริก
ปลาคาร์ปวิญญาณซึ่งว่ายวนเป็นฝูงในสระต่างนิ่งค้างอยู่ในน้ำ
กระแสลมที่พัดโบกดูจะหยุดลงในยามนี้
บรรยากาศที่นิ่งงันและหดหู่ปกคลุมสวนน้อย
“ดูสิ ยามนี้เจ้าก็ขยับไม่ได้แล้ว วิญญาณของเจ้าสูญสิ้น สติก็ถูกปลิดทิ้ง ในสายตาข้า เจ้าก็ไม่ต่างกับลูกแกะน้อยรอถูกข้าเชือดเลย”
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “อย่าห่วงไป ข้าไม่ได้มาฆ่าเจ้า แต่เพราะการวางตัวของเจ้าแย่เกินไป ข้าจึงจะลงโทษเจ้าสักเล็กน้อย”
เขาเชิดคาง แล้วกล่าวด้วยแววตาขี้เล่น “มาสิ มาคุกเข่าเรียกข้าเป็นปู่ก่อน แล้วโขกหัวสามทีขอขมาเสีย”
ในที่สุด ซูอี้ซึ่งยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างเก้าอี้หวายก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นม่านตาของเขาก็หดตัว ตกใจอย่างยิ่งจนแทบสิ้นเสียง “เจ้า… เจ้าตื่นขึ้นแต่ยามใด?”
ซูอี้กล่าว “วิชา ‘วจีสะกดวิญญาณ’ แห่งเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงนั้นไม่เลว แต่ดูเจ้าจะไม่ได้ฝึกฝนวิชานี้ที่บ้านเกิด ดังนั้นข้าจึงตื่นก่อน”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลือง “…”
ร่างของเขาแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์
ด้วยการฝึกฝนในขอบเขตสยายวิญญาณของเขา การใช้วิชาลับ ‘วจีสะกดวิญญาณ’ อย่างกะทันหันเพียงพอแล้วที่จะควบคุมตัวตนในขอบเขตเดียวกันที่ไม่ได้ตั้งตัวสำเร็จ
มันยิ่งง่ายเมื่อจัดการกับผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ และไม่เคยพลาดมาก่อน!
ทว่ายามนี้ อีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มละอ่อนผู้หนึ่งแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับผลแม้แต่น้อย นี่จะไม่ทำให้ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองประหลาดใจได้เช่นไร?
ควับ!
ร่างของชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองวูบไหว ทะยานจากไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาตระหนักแล้วว่าบางสิ่งผิดแผก และวางแผนหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้!
ทว่าร่างของเขายังเพิ่งทะยานสู่ฟ้า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูแล้ว
“ไฉนจึงรีบร้อนเช่นนั้นเล่า? มาสิ เจ้าลองวิชาสะกดวิญญาณของข้าบ้าง”
“อึ้ก!”
วจีวิถีแต่ละคำสะท้านทั่วแดนสรวง ระเบิดอยู่ในวิญญาณของชายวัยกลางคนในชุดสีเหลือง
ยามนี้ วิญญาณของเขาเจ็บสาหัส ดวงตาหม่นสี ร่างซวนเซร่วงจากอากาศสู่พื้นดังตุ้บ
“แย่ล่ะ!”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองหน้าซีดด้วยความตกใจ สติหลุดลอย และเขาก็กำลังจะต่อต้าน
“มาสิ มาคุกเข่าก่อน ข้าไม่ให้เจ้าเรียกข้าเป็นปู่หรอกนะ แค่โขกหัวสามทีก็พอ”
เขาได้ยินคำกล่าวกดหัว แต่มันกลับฟังดูเหมือนเสียงจากสรวงซึ่งทำให้ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองร่างกระตุกสั่น อาภรณ์เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ
ไม่นานนัก ดวงตาของเขาก็มืดหมอง สีหน้าว่างเปล่า เดินไปคุกเข่าโขกหัวลงกับพื้นราวศพเดินได้
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ในการโขกหัวสามครั้ง พื้นเกิดเสียงสะเทือนอันน่าตกใจ
และซูอี้ผู้กลับไปนั่งบนเก้าอี้หวายแล้วก็กล่าวกับชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองคุกเข่าลงกับพื้น แววตาเลื่อนลอย กล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ผูหวย”
“ใครส่งเจ้ามาที่นี่?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ผูซู่หรง”
“นางเป็นใคร?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์คนที่สิบสามแห่งเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วง และเป็นน้องสาวของหัวหน้าเผ่า”
“เหตุใดนางจึงส่งเจ้ามาที่นี่?”
“ที่แห่งนี้คือสถานพักแรมซึ่งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจัดไว้ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเขาไล่นางออกไปเมื่อสองวันก่อนเพื่อแขกผู้มีเกียรติผู้หนึ่ง ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลยมาดูสักหน่อยว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงส่งมาจากหนใด”
ซูอี้ได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็พอเข้าใจ “ผูซู่หรง… แม่ของเซี่ยชิงหยวนหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองกล่าว “เซี่ยชิงหยวน? ไม่ บุตรสาวของสตรีศักดิ์สิทธิ์มีนามว่าผูชิงหยวน”
ซูอี้แค่นเสียงหึ และจู่ ๆ ก็จำเรื่องบางอย่างได้ จึงกล่าวว่า “รู้จักรั่วฮวนหรือไม่?”
นับแต่ยามที่เข้ามาในสวนน้อยนภาเมฆ เขาก็ได้กลิ่นบางอย่างจาง ๆ และจำได้ว่ามันคือ ‘สุคนธ์มารกร่อนกระดูก’ อันพิเศษเฉพาะของเผ่าปีศาจจิ้งจอกบุหลันม่วง
ทีแรก เขาคิดว่าผู้ที่ปรากฏในสวนนี้จะเป็นสตรีในชุดกระโปรงสีเหลือง ‘รั่วฮวน’ ผู้ซึ่งเขาเคยพบมาก่อนในต้าฉิน
ทว่ายามนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนเดียวกัน!