บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 783: ไม่เกรงกลัวความตายจริง ๆ
ตอนที่ 783: ไม่เกรงกลัวความตายจริง ๆ
ตอนที่ 783: ไม่เกรงกลัวความตายจริง ๆ
นอกถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน
ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“นายท่าน เหตุใดท่านถึงบาดเจ็บหนักเพียงนี้”
สัตว์เหวลึกที่รออยู่ตลอดเบิกตาสีทองดั่งอำพันด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
เท่าที่มันจำความได้ นายท่านเป็นตัวตนที่สูงส่งไร้เทียมทานมาตลอด อย่าว่าแต่บาดเจ็บเลย ทั้งใต้หล้านี้ ก็มิมีผู้ใดฝีมือเทียบเทียม
ทว่าบัดนี้ นายท่านของมันกลับบาดเจ็บ!
ซ้ำยังร้ายแรงมากอีกด้วย!
เป็นเรื่องที่สัตว์เหวลึกยากจะยอมรับ
“บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น หาใช่เรื่องใหญ่”
ซูอี้ชำเลืองสัตว์เหวลึก “อีกอย่าง ข้าในตอนนี้เพิ่งจะอยู่แค่ขอบเขตสยายวิญญาณเท่านั้น”
พูดจบ เขานั่งขัดสมาธิกับพื้น นำโอสถวิเศษออกมาพร้อมกินเข้าไป แล้วจึงเริ่มนั่งสมาธิรักษาบาดแผล
สัตว์เหวลึกดูกังวลมาก มันเอ่ยกระอึกกระอัก “นายท่านโปรดอภัย ข้า… ข้าม่ได้ตั้งใจล่วงเกิน แต่เพียงคิดไม่ถึงว่าลำพังดินแดนลึกลับเก้าชั้นอันกระจอกงอกง่อยจะทำให้ท่านบาดเจ็บ… เอ่อ เดี๋ยวสิ เวลานี้นายท่านอยู่ขอบเขตสยายวิญญาณ มิน่าเล่า…”
พูดมาถึงท้ายสุด สัตว์เหวลึกมีสีหน้ากระจ่าง
จากนั้น มันผงะไปอีกครั้ง ขอบเขตสยายวิญญาณ!?
เหตุใดจู่ ๆ นายท่านถึงอ่อนแอลงขนาดนี้?
“เป็นอะไรไป เจ้าตัวเล็กอย่างเจ้าเห็นว่าข้าอ่อนแอไปอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้นั่งสมาธิไปพลางถาม
สัตว์เหวลึกสั่นศีรษะรัว เอ่ยด้วยท่าทีหวาด ๆ “ที่นายท่านอ่อนแอลงเช่นนี้ ย่อมมีนัยยะสำคัญแฝงอยู่ ต่อให้อัดข้าให้ตาย ก็ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย”
ขณะที่พูด มันอ้าปากบ้วนเอาน้ำเต้าหยกสีดำลอยออกมา “นายท่าน ภายในน้ำเต้านี้มี ‘ผลเต๋าเทียนหลัว’ สามลูกที่อวิ๋นจื่ออิงหามาได้ นับเป็นยาวิเศษในการรักษาอาการบาดเจ็บ หวังว่าท่านจะรับไว้”
ซูอี้ชะงัก ยกมือรับน้ำเต้าหยกสีดำ พร้อมเทผลวิญญาณออกมาลูกหนึ่ง
สิ่งนี้มีขนาดเท่าไข่นกพิราบเท่านั้น เปลือกนอกเป็นสีม่วงอ่อน แฝงไว้ด้วยลายสลักมหาวิถีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สุกสกาวแวววาว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ขจรขจาย
นี่คือผลเต๋าเทียนหลัวของจริง เป็นยาวิเศษที่หายากยิ่งชนิดหนึ่ง สร้างเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่จากเถ้ากระดูกได้ ซ้ำยังช่วยให้รากฐานมหาวิถีของระดับจักรพรรดิมั่นคงได้อีกด้วย
ผลวิญญาณเช่นนี้ มากพอให้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิตาร้อน
แต่ตอนนี้ สัตว์เหวลึกกลับมอบผลเต๋าเทียนหลัวทั้งสามลูกให้ซูอี้ทั้งหมดโดยไม่ลังเล!
“เจ้าตัวเล็กอย่างเจ้านี่มีน้ำใจจริง ๆ”
ซูอี้ยิ้ม และสะท้อนใจขึ้นมานิดหน่อย
สัตว์เหวลึกเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง “ถ้าไม่ได้นายท่านถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกฝนแก่ข้า ข้าย่อมไม่มีพลังอย่างวันนี้ ต่อให้ตอนนี้นายท่านสั่งให้ข้าไปตาย ข้าก็จะไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิด!”
“พอเถิด”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “ชีวิตของเจ้าเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น ต่อให้เจ้าปรารถนาตายแทนข้า ก็ต้องดูว่าข้าตกลงหรือไม่”
พูดจบ เขาอ้าปากกลืนผลเต๋าเทียนหลัวเข้าไปหนึ่งลูก ก่อนจะทุ่มเทกำลังหลอมละลาย
ตู้ม!
คลื่นอันอบอุ่นซัดสาดดั่งเกลียวคลื่นหลั่งไหลเข้าไปตามแขนขาและอวัยวะภายใน อาการบาดเจ็บแสนสาหัสตามตัวซูอี้สมานหายดีในความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
กระทั่งพลังที่จวนเจียนจะเหือดแห้งเต็มทีของเขายังงอกเงยเติบโตขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งหน่อไม้วสันตฤดูหลังอาบฝน
เพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บตามตัวหายดีเท่านั้น กระทั่งพลังวิถียังกลับไปอยู่ในระดับสูงสุด!
และเวลานี้ ซูอี้เพิ่งหลอมละลายพลังของผลเต๋าเทียนหลัวได้สามในสิบส่วนเท่านั้น…
รู้เลยว่าสิ่งนี้มหัศจรรย์เพียงใด!
สุดท้าย ซูอี้ถึงกับต้องยับยั้งอานุภาพตัวยาที่เหลืออยู่ไว้ก่อน และสะกดมันไว้ในอารามวิญญาณมหาวิถี
“สองลูกที่เหลือ เจ้าเก็บไว้เถิด”
ซูอี้พูดพลางโยนน้ำเต้าหยกสีดำให้สัตว์เหวลึก
จากนั้นเขาก็ยันตัวขึ้นจากพื้น เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นม่านหมอกปกคลุมอยู่หนาแน่นในอากาศ บดบังผืนฟ้าจนไม่อาจมองเห็นสีของนภาได้ชัดเจน
“อีกนานเท่าใดฟ้าถึงจะสว่าง?”
ซูอี้ถาม
สัตว์เหวลึกรีบตอบ “สองชั่วยาม”
ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมา ก่อนจะทอดกายลงไปอย่างเกียจคร้าน จากนั้นหยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอย่างหนำใจ พร้อมเอ่ย “เจ้าเอ่ยข้อสงสัยระหว่างการฝึกฝนให้ข้าฟังได้จนกว่าฟ้าสว่าง”
สัตว์เหวลึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ตื้นตันจนตาลุกวาว
มันไฉนเลยจะไม่รู้ ได้นายท่านไขข้อสงสัยให้ด้วยตัวเอง เป็นโอกาสที่หาได้ยากปานใด?
นี่แทบไม่ด้อยไปกว่าอภิมหาโอกาสวาสนาเลยนะ!
ถ้าเจ้าอวิ๋นจื่ออิงรู้เข้า ต้องอิจฉาจนตาร้อนอย่างแน่นอน!
“นายท่าน ขอเรียนตามตรง หลายปีมานี้ ข้ามีข้อสงสัยข้องใจอยู่จำนวนหนึ่งจริง ๆ”
สัตว์เหวลึกสงบใจ และขอคำแนะนำอย่างถ่อมตน
พูดกันตามตรงแล้ว สัตว์เหวลึกนับเป็นสัตว์วิญญาณชนิดหนึ่ง มีข้อแตกต่างจากผู้ฝึกปีศาจในโลกนี้อยู่บ้าง แม้แต่กลุ่มขุมกำลังชั้นนำอย่างโถงหลงลืม ก็ยากจะให้ความช่วยเหลือมันในด้านการฝึกฝน
ทว่าเรื่องนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาสำหรับซูอี้
ชาติก่อน เขาได้รับสมญานามว่า ‘ปรมาจารย์หมื่นวิถี’ เส้นทางฝึกฝนของสรรพวิญญาณในใต้หล้านี้ เขารู้เกือบหมดทุกแขนง
ซูอี้ดื่มสุราไปพลาง ให้คำตอบไปพลาง
ส่วนสัตว์เหวลึกตั้งใจฟัง เรียนรู้อย่างอ่อนน้อม
เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ
จวบจนฟ้ากำลังจะสว่าง ซูอี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายพร้อมกล่าว “เอาล่ะ เท่านี้พอ ข้าต้องไปแล้ว”
สัตว์เหวลึกมีสีหน้าเสียดายขึ้นมาทันที “นายท่าน ท่าน… ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
ซูอี้สั่นศีรษะพลางกล่าว “ไม่เหมาะ หากข้าพาตัวเจ้าไป พวกตาเฒ่าโถงหลงลืมมีหวังเดือดดาลร้องจะฆ่าข้าให้ได้แน่นอน เช่นนี้ยุ่งยากเกินไป”
สัตว์เหวลึกบันดาลโทสะทันที “พวกเขากล้ารึ!!”
ซูอี้หัวเราะ “เจ้าอยู่ฝึกฝนที่นี่ รออวิ๋นจื่ออิงกลับมา ถ้าเจ้าไม่ต้องการอยู่กับโถงหลงลืมต่อไปจริง ๆ ก็บอกเขาได้”
สัตว์เหวลึกรีบตอบ “นายท่าน ถ้าอย่างนั้น… ถึงเวลาข้าไปหาท่านได้หรือไม่ ท่านวางใจได้ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างท่าน ต่อให้เป็นงานเทน้ำรินชา คอยรับใช้ห่วงหน้าห่วงหลัง ข้าก็เต็มใจ!”
ซูอี้ผงะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากถึงตอนนั้นข้ายังอยู่ที่ภูมิมืดมิด ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครา”
สัตว์เหวลึกยินดีอย่างสุดซึ้ง “ขอบคุณนายท่านที่ให้ข้าได้สมปรารถนา!”
ซูอี้ยิ้ม ทำท่าจะไป พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เมื่อกลางวัน เคยมีใครมาซักถามหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงผิดปกติไป”
สัตว์เหวลึกตอบ “มี เขาคือกู่จงซวิ่น นักบวชลำดับหนึ่งคนปัจจุบันของโถงหลงลืม ทว่าข้าไม่ได้บอกเขาเรื่องที่เกี่ยวกับนายท่าน”
ซูอี้พยักหน้า “เรื่องของข้า อย่าได้กล่าวกับผู้ใดอีก”
สัตว์เหวลึกรีบตอบตกลงโดยไม่อิดออด “นายท่านโปรดวางใจ ข้าไม่เผยความลับแน่”
จากนั้น เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “นายท่าน ก่อนหน้านี้ท่านเคยบุกเข้าไปขัดเกลาตนในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ น่ากลัวว่าปิดคนของโถงหลงลืมไม่ได้…”
เพิ่งพูดมาถึงนี่ ซูอี้ก็ขัดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเพียงบอกพวกเขาไปว่าซูอี้ผู้นี้เคยมาเยือนก็พอ”
ซูอี้?
สัตว์เหวลึกไตร่ตรอง แล้วจึงกระจ่างและตระหนักได้ว่านี่คือตัวตนที่นายท่านใช้ในปัจจุบัน
“เจ้าตัวเล็ก ไปส่งข้าสักระยะที”
ซูอี้หมุนตัวเดินมุ่งออกไปในทิศไกล
สัตว์เหวลึกรีบร่ายคาถา ปูแสงเทวะด้วยพลังมหาวิถี จากนั้นแบกร่างของซูอี้ข้ามค่ายกลพิฆาตแสนน่ากลัวที่ปกคลุมอยู่บนเส้นทางหินดำ พร้อมกระโจนออกไปนอกหุบเขา
จวบจนร่างของซูอี้หายลับไป สัตว์เหวลึกถึงพึมพำเสียงเบา “นายท่าน รักษาตัวด้วย…”
ยอดเขาสารทฤดู
เมื่อซูอี้กลับมาถึงศาลา แสงตะวันหยาดแรกสาดส่องท้องฟ้า ทลายรัตติกาล ส่องสว่างไปทั่วแผ่นดิน และทำให้ทั้งเก้ายอดเขาในหุบเขาไน่เหอต่างอาบอยู่ใต้ท้องฟ้าอันสดใส
หมู่เมฆเจิดจ้า เป็นภาพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่งดงาม
“คุณชายซู ท่านกลับมาแล้ว!”
ชายชราตาบอดเข้ามาต้อนรับ
เขารู้จักหน้าที่ จึงไม่ไถ่ถามว่าเมื่อคืนซูอี้ไปทำการอันใดที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน กระนั้นเขาก็สัมผัสได้ด้วยปฏิภาณอันแหลมคมว่า ลมปราณบนตัวซูอี้ดูราบเรียบไม่ผิดแผกเหมือนเก่า ทว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
“ดูท่า เมื่อคืนคุณชายซูได้อะไรมาเยอะจากการฝึกฝนสิท่า”
ชายชราตาบอดรำพันกับตัวเอง
หลังจากซูอี้กลับไปยังศาลา เขาได้ล้างหน้าล้างตาทำความสะอาดร่างกาย แล้วเปลี่ยนเป็นชุดสีเขียวครามสะอาดสะอ้าน ม้วนผมยาวดกดำเป็นมวยทรงเต๋า แล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
เขาไม่ได้รอนานเท่าใด ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็มาถึงแล้ว
หญิงสาวอยู่ในชุดสีม่วงแวววาวดั่งหยก รูปโฉมสะคราญ เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงอรุณดูคล้ายนางเซียนน้อยที่จุติลงจากสวรรค์ ร่างเรียวงามนั้นมีเสน่ห์อย่างน่าตะลึง
“นายน้อยซู เมื่อคืนข้าได้เขียนจดหมายหาตระกูล บอกท่านพ่อเรื่องที่พวกเราจะกลับไปแล้ว”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนยิ้มละไม เสียงใสดั่งกระดิ่ง “นอกจากนี้ ข้ายังขออนุญาตจากผู้อาวุโสในโถงแล้ว พวกเราสามารถยืมค่ายกลรับส่งจากโถงหลงลืม เพื่อไปยังส่วนใต้สุดของเขตแม่น้ำลืมเลือน…”
ซูอี้ส่ายหัวและขัดขึ้น “ข้าหาได้รีบร้อนเดินทาง เหตุใดต้องยืมค่ายกลรับส่ง? ข้าตั้งใจว่าจะเที่ยวชมระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปตระกูลชุยของพวกเจ้า”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “…”
คิ้วเรียวของนางขมวดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเตือน “นายน้อยซู ท่านทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับให้โอกาสพวกนักบวชลำดับสามทำร้ายท่านหรอกหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “…”
นางมองซูอี้อย่างไม่อยากเชื่อ แล้วจึงเข้าใจว่าซูอี้ไม่กลัวการโดนไล่ล่า หรือกระทั่งว่าเขาอาจเฝ้ารอการโดนไล่ฆ่าอีกด้วย…
เรื่องนี้บ้าบอเกินไปแล้ว!
ชุยจิ๋งเหยี่ยนโตขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าบนโลกหล้านี้มีขอบเขตสยายวิญญาณที่ใจกล้าบ้าบิ่นปานนี้ และแทบอยากโดนตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิไล่ล่าด้วยซ้ำ!
ทว่าหวนนึกถึงความลึกลับของซูอี้ ลงท้ายซูจิ๋งเหยี่ยนก็หยุดความคิดเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใด “แผนการเดินทางที่ข้าอุตส่าหวังดีวางไว้ให้ ขอเพียงวิ่งได้เร็วพอ ย่อมหลีกเลี่ยงการไล่ล่าจากนักบวชลำดับสามได้แน่นอน แต่เจ้าดันดึงดันกับความคิดตัวเอง”
พูดไป นางเชิดใบหน้าเล็ก ๆ นั้น ถลึงตาใส่ซูอี้ด้วยดวงตาคู่งาม “ในเมื่อต้องการหาเรื่องใส่ตัว ข้าเองก็คร้านจะกล่อมท่าน อย่างมากก็แค่วอนขอความเมตตาจากนักบวชลำดับสามให้นางไว้ชีวิตเจ้า เมื่อครั้งเจ้ากำลังจะโดนฆ่าแล้วกัน”
ซูอี้หลุดหัวเราะ
ดูออกว่าเมื่อคืนหญิงสาวต้องเหนื่อยเพราะเรื่องตัวเองไม่น้อย
กระนั้น ใช่ว่าเขาหักหาญน้ำใจ และไม่ใช่เพียงเพราะต้องการสั่งสอนหยวนหลินหนิงจึงขัดข้อทุกอย่าง
แต่เป็นเพราะระหว่างทางไปตระกูลชุยคราวนี้ เขาต้องไปยังที่แห่งหนึ่ง เพื่อเอาของสิ่งหนึ่งของเขาเมื่อชาติก่อนคืนมา!
หากยืมใช้ค่ายกลรับส่ง ย่อมพลาดไปแน่
“ไปกันเถิด”
ซูอี้ก้าวออกไปนอกศาลา
ชายชราตาบอด ชุยจิ๋งเหยี่ยนตามไปติด ๆ
ตลอดทาง ได้ชุยจิ๋งเหยี่ยนคอยชี้ทาง พวกซูอี้จึงออกจากหุบเขาไน่เหอได้อย่างว่องไว มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
ขณะเดียวกัน…
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ภายในถ้ำของนักบวชสูงสุด
“พวกเขาไม่ได้ใช้ค่ายกลรับส่งหรือ?”
เมื่อรู้ข่าวพวกซูอี้ออกเดินทางแล้ว กู่จงซวิ่น นักบวชสูงสุดขมวดคิ้ว ขณะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “คนผู้นั้น… เขาไม่เกรงกลัวความตายจริงหรือ?”