บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 812: เซวียฮว่าหนิง
ตอนที่ 812: เซวียฮว่าหนิง
ตอนที่ 812: เซวียฮว่าหนิง
บนถนนและตรอกซอยอันเฟื่องฟูของเมืองตาข่ายม่วง
ขณะมองขบวนอันยิ่งใหญ่หายไปลับตา ชายหนุ่มในชุดสีขาวพลันกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าการกระทำของนักบวชสูงสุดแห่งโถงหลงลืมต่อคุณชายซูจะล้มเหลวนะขอรับ”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวเบา ๆ ด้วยกิริยานุ่มนวลว่า “ข้าบอกแล้วว่าสหายเต๋าซูผู้นั้นเป็นคนไม่ธรรมดา เกรงว่าแม้ผู้เฒ่าสูงสุดที่สามหลูฉางหมิงแห่งโถงหลงลืมจะลงมือ แต่ก็คงไม่อาจชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาได้”
ในทีแรก พวกเขาศิษย์อาจารย์และพวกซูอี้ออกจากโถงหลงลืมในวันเดียวกัน
ทว่าพวกเขาศิษย์อาจารย์เดินทางออกมากันก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้เกี่ยวกับการไล่ล่าที่ซูอี้ประสบ
และย่อมไม่รู้ว่าจักรพรรดิเยี่ยงหยวนหลินหนิงถูกปราบด้วยดาบของซูอี้
ทว่าชายชราในชุดนักพรตเต๋าดูจะคาดไว้แล้วว่าคนจากโถงหลงลืมจะไม่อาจชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงไปจากมือซูอี้ได้!
“อย่างนั้นหรือ…”
หวังถิงเงียบไปครู่หนึ่ง และโพล่งขึ้นว่า “อาจารย์ พวกเราค้นเมืองตาข่ายม่วงมาหลายวันแล้ว ทว่าก็ยังไม่เจอเบาะแสได้ ท่านว่า… เราขอความช่วยเหลือจากแม่นางชุยได้หรือไม่?”
“ตระกูลชุยคือนายแห่งเมืองตาข่ายม่วงแห่งนี้ หากพวกเขาช่วยได้…”
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็ถอนใจพลางส่ายหน้า “ไม่ได้ หากตระกูลชุยรู้เจตนาของเรา อาจเกิดเหตุพลิกผันคาดไม่ถึงเอาได้”
หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ตบบ่าหวังถิงเบา ๆ และกล่าวว่า “ข้ารอคอยและค้นหามันมานานหลายปีแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
หวังถิงพยักหน้าเงียบ ๆ
“ไปหาที่พักกันสักเดี๋ยว จากนั้นเราจะไปที่ ‘ซากโบราณกองตัดสิน’ ทางตะวันออกของเมืองกัน”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวและเดินหายไปไกล
เมืองตาข่ายม่วงใหญ่โตมหาศาล ครอบคลุมพื้นที่แปดร้อยลี้ และแยกออกเป็นสี่เขตหลัก และแต่ละเขตหลักก็เป็นที่อาศัยของชีวิตนับล้าน ๆ!
หลังจากเสี้ยวชั่วยามผันผ่าน
กลุ่มองครักษ์เกล็ดดำอันทรงพลังก็อารักขาเกี้ยวที่พวกซูอี้อยู่มาถึงคฤหาสน์ตระกูลชุย
คฤหาสน์นี้กินพื้นที่มหาศาลมาก มีศาลา ลำธาร ป่าเขาและทัศนียภาพต่าง ๆ มากมาย งดงามโอ่อ่ายิ่งกว่าราชวังแห่งใดในโลกของคนธรรมดา
จากเรื่องเล่า หลังจากบรรพชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในตระกูลชุยซึ่งฝึกฝนสืบต่อกันมา ในเขตคฤหาสน์ตระกูลชุยจึงไร้เฉียนคุน แต่ไม่ต่างอันใดกับโลกเร้นลับในตัวมันเอง
หลังจากพวกซูอี้มาถึง ก็มีผู้คนรออยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์แล้ว
“พี่ซู เจ้ามาถึงประตูบ้านตระกูลชุยของข้าแล้ว แต่ไม่คิดจะบอกที่มาของเจ้าให้ข้าฟังจริง ๆ หรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้เหลือบมองหญิงสาวและกล่าวว่า “ไม่ล่ะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “…”
หญิงสาวย่นจมูกบ่นหงุงหงิง “ไว้ข้าพบท่านพ่อก่อน ข้าจะได้เห็นกับตาเสียทีว่าฐานะที่แท้จริงของเจ้าจะเผยออกมาเช่นไร!”
นางกล่าวพลางเดินลงบันไดออกไปสู่ประตูคฤหาสน์
คนรับใช้ผมขาวผู้หนึ่งยืนรออยู่ เขายิ้มและประคองกำปั้น “คุณหนู ข่าวการกลับมาของท่าน ท่านเจ้าตระกูลและฮูหยินทราบแล้ว ทว่ายามนี้ท่านเจ้าตระกูลกำลังรับแขก ฮูหยินจึงบอกให้คุณหนูพาแขกทั้งสองท่านไปยัง ‘ศาลาต้นสนลมโชย’ ก่อนขอรับ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตะลึงและถามอย่างฉงน “ลุงเถา ท่านพ่อพบผู้ใดอยู่หรือ?”
คนรับใช้เฒ่า ลุงเถากล่าวเสียงต่ำ “เจ้าตระกูลกำลังรับแขกจากสามตระกูลโบราณ คือตระกูลชวี ตระกูลหง และตระกูลตั้นไถอยู่ขอรับ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างแปลกใจ “พวกเขามาทำอันใดในตระกูลชุยเรากัน?”
ลุงเถาส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่ทราบขอรับ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนครุ่นคิด และจึงกล่าวว่า “ช่างเถิด ข้าจะพาแขกทั้งสองไปพบแม่ข้าก่อน”
…
ศาลาต้นสนลมโชย
เมื่อพวกซูอี้มาถึง ก็พบหญิงผู้งามสง่านั่งอยู่ในศาลาอันเรียบง่ายทว่าสง่างามนี้แล้ว
เรือนผมหนาของสตรีผู้นั้นถูกรวบขึ้นสูง สวมอาภรณ์ขนนก กิริยาท่าทางให้ความรู้สึกอ่อนโยนเงียบสงบ
เซวียฮว่าหนิง
ฮูหยินของเจ้าตระกูลชุย ซึ่งเนิ่นนานมาแล้วเป็นอดีตทูตข้ามนทีแห่งโถงหลงลืม!
นางมีฐานะสูงส่ง กระทั่งเจ้าโถงหลงลืมคนปัจจุบันยังต้องยกย่องนางเป็นอาจารย์อายามพบหน้า
และในภูมิมืดมิดนี้ นางก็คือ ‘จักรพรรดิวิญญาณพันจินดา’ ผู้โด่งดังทั่วโลกาเมื่อนานมาแล้ว!
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเดินเข้าไปในศาลาด้วยรอยยิ้ม และก้มหัวอย่างเชื่อฟัง
เซวียฮว่าหนิงลุกจากที่นั่ง ก่อนจะกล่าวกับซูอี้และชายชราตาบอดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือแม่ของจิ๋งเหยี่ยน ยินดีที่ได้พบแขกทั้งสอง”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
ชายชราตาบอดรีบร้อนกุมกำปั้นคำนับ “คารวะผู้อาวุโส!”
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ทว่าเขาไม่เคยได้พิสูจน์เต๋าสู่การเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเซวียฮว่าหนิง จักรพรรดิวิญญาณพันจินดาผู้ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิเนิ่นนานมา เขาจะกล้าทำตนไม่สุภาพได้เช่นไร
“แม้ข้าจะไม่ทราบชื่อเจ้า แต่จิ๋งเหยี่ยนเคยเขียนจดหมายบอกข้าแล้วว่าเจ้าเป็นศิษย์ของนายแห่งโลงศพโลหิต กล่าวไป ข้าและอาจารย์เจ้าก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ต้องสุภาพหรอก”
เซวียฮว่าหนิงหันไปมองซูอี้อีกครั้งด้วยการวางตนนุ่มนวล กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เทียบกันแล้ว ท่านนี้คงเป็นซูอี้ คุณชายซู จดหมายของจิ๋งเหยี่ยนชื่นชมเจ้าไม่ขาดปากทีเดียว”
ซูอี้สะดุ้ง
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพึมพำ “ข้าไม่ได้ชมเขา ข้าแค่พูดความจริง”
ซูอี้ตะลึงงัน
ต่อมา ทุกคนก็พากันนั่งลง เหล่าคนรับใช้นำชาและขนมมาวางเรียง
เซวียฮว่าหนิงดูจะให้ความสนใจซูอี้เป็นพิเศษ และถามพร้อมกับยิ้มว่า “คุณชายซู ข้าได้ยินว่าเจ้ามายังภูมิมืดมิดครานี้ก็เพื่อแสวงวิถี แล้วแผนในยามนี้ของเจ้าคือสิ่งใด?”
“ยามนี้ข้ายังไม่มีแผนตายตัว”
ซูอี้จิบชาพลางกล่าวสบาย ๆ
เขามายังตระกูลชุยเพื่อถามเกี่ยวกับการเดินทางสู่ทะเลทุกข์ของชุยหลงเซี่ยง
ต่อจากนั้น พวกเขาจะไปยัง ‘สถานที่เก่า ๆ’ บางแห่งเพื่อรับสิ่งที่ตนทิ้งไว้ในอดีตชาติ
นอกจากนั้นก็คือการมุ่งเน้นฝึกฝนสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณโดยเร็วที่สุด และเตรียมการพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ
ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขายังไม่ได้คิดอันใดมากนัก
ท้ายที่สุดแล้ว ในใจซูอี้ เรื่องอื่น ๆ นอกจากการฝึกฝนก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไปซึ่งไม่ต้องคิดมากนัก
ต่อมา เซวียฮว่าหนิงก็ชวนคุยสัพเพเหระอยู่สักพัก
แม้ว่าซูอี้จะไม่ได้สนใจ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความกระสับกระส่ายเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไรเขาก็มาเป็นแขกที่นี่ และอีกฝ่ายก็เป็นแม่ของชุยจิ๋งเหยี่ยน แม้ว่าซูอี้จะคิดว่าการพบปะเช่นนี้ช่างน่าเบื่อ เขาก็ไม่อาจพูดสิ่งอื่นใดได้
ทันใดนั้น เซวียฮว่าหนิงก็ถามว่า “แล้ว… คุณชายซูแต่งงานหรือยัง?”
ชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยนพากันชะงักค้าง
ซูอี้เองก็ตกใจ เขาส่ายหน้ากล่าว “ไม่”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านแม่ ไฉนจึงถามเช่นนี้เล่า?”
เซวียฮว่าหนิงทอดถอนใจ “ตลอดกาลนานมา นี่คือครั้งแรกที่ลูกสาวข้าพาชายที่ชอบกลับมาบ้าน ในฐานะมารดา ข้าย่อมสงสัยใคร่รู้ว่าคุณชายซูผู้นี้มีดีเช่นไร ลูกสาวข้าจึงชื่นชมนัก”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “?”
ชายชราตาบอดดูพิกล
มุมปากซูอี้กระตุก เกิดอันใดขึ้น?
เซวียฮว่าหนิงกล่าวยิ้ม ๆ “ยามนี้เมื่อข้าได้พบเขา คุณชายซูเป็นผู้มีฝีมือจริงแท้ วาจากิริยาให้ความรู้สึกห่างเหิน ดูไม่น่าแปลกหากจะเป็นที่ชื่นชม”
นางคือจักรพรรดิผู้มีอายุยืนยาว คุ้นเคยกับการเห็นอัจฉริยะและผู้นำทั้งหลายทั่วโลกหล้า
นับแต่ซูอี้เข้ามาในศาลาต้นสนลมโชย นางก็ให้ความสนใจทุกการกระทำของชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ตลอด และพบว่าแม้จะอยู่ต่อหน้าตัวตนในระดับจักรพรรดิเช่นนาง ทว่าเขาก็ยังเยือกเย็น ไร้ความคิดสยบยอม
ช่างหาได้ยากนัก
ควรค่ากล่าวถึงว่าเหล่าชนรุ่นเยาว์ผู้เจิดจรัสในวิถีวิญญาณทั่วเขตราชาหกวิถี เมื่อพวกเขาพบนางก็จะมีท่าทีเกร็งเครียด ไม่ว่าจะด้วยความยำเกรง กลัวหรือประหม่าก็ตามที
ไม่มีผู้ใดเยือกเย็นเท่าซูอี้มาก่อน
กิริยาเช่นนี้ไม่ใช่การแสร้งทำ แต่เป็นการที่สภาพจิตใจผ่อนคลายสงบสติ หาไม่ เซวียฮว่าหนิงมองปราดเดียวก็เห็นได้แล้ว
เพราะเหตุนี้เอง เซวียฮว่าหนิงจึงไม่หวงคำชมต่อเขา
“ท่านแม่ ท่าน… ท่าน… คิดมากไปแล้วหรือไม่?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพูดติดขัด หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย สมองมึนงงหน่อย ๆ นางพลันรู้สึกว่าในสายตาผู้เป็นมารดา การที่นางพาซูอี้กลับบ้านด้วยตนเองจะกลายเป็นการพาชายที่ชอบมาพบพ่อแม่เป็นครั้งแรกเสียแล้ว…
“แม่หนู ทุกสิ่งมีครั้งแรกเสมอ ในเมื่อเจ้าเต็มใจพาคุณชายซูกลับบ้าน เจ้าก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วย”
เซวียฮว่าหนิงกล่าวอย่างนุ่มนวลด้วยใบหน้าใจดี “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้า และไม่โทษเจ้าที่ตัดสินใจเอาเองด้วย เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็โตแล้ว ไม่ใช่เรื่องแย่หากจะอยากอยู่กับคนที่ชอบ ในฐานะแม่ ข้าก็ยินดีกับเจ้าด้วย จะคิดโทษเจ้าได้เช่นไร?”
ชายชราตาบอดใบหน้ากระตุก เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามกลั้นขำ ชาที่ดื่มแทบถูกพ่นออกมา และเขาก็รีบถอนหายใจ
ซูอี้อดถูหว่างคิ้วตนไม่ได้
ไฉนเรื่องจึงเป็นเช่นนี้ได้?
ก่อนจะกลับมา ชุยจิ๋งเหยี่ยนส่งจดหมายให้ตระกูลชุยฉบับหนึ่ง นางเขียนอันใดไว้กันจึงทำให้แม่ของนางเข้าใจผิดได้เช่นนี้?
เมื่อหันมองชุยจิ๋งเหยี่ยนอีกครั้ง นางดูจนปัญญาอย่างสมบูรณ์ ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง ใบหน้าแดงก่ำ อ้าปากแก้ต่าง “ท่านแม่ เรื่องไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะเจ้าคะ เขา…”
เซวียฮว่าหนิงขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าปรากฏเค้าลางความมั่นใจ “แม่หนู แม่เจ้าอาบน้ำร้อนมาก่อน ไฉนเลยจะมองเจ้าไม่ออก? อย่าห่วงเลย แม้ว่าการพูดเรื่องการแต่งงานจะเป็นเรื่องของความเหมาะสมของบ่าวสาว แต่ขอเพียงเจ้าชอบพอ ไม่ว่าเขาจะมาจากที่แห่งใด ข้าก็ไม่สนเกียรติภูมิหรือฐานะหรอก”
หลังชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของเซวียฮว่าหนิงก็แสดงเค้าลางความภาคภูมิ “ขออภัยหากไม่สุภาพ ต่อให้คุณชายซูเป็นเพียงผู้ฝึกตนไร้นามธรรมดา ขอเพียงเจ้าและเขาชอบพอ แม่ก็จะช่วยพวกเจ้าให้อยู่ด้วยกันอยู่ดี! ด้วยพื้นเพตระกูลชุยของเรา เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องหัวนอนปลายเท้าเลย”
กล่าวจบ นางก็หันกลับมามองซูอี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “ข้าคิดว่าคุณชายซูน่าจะเข้าใจความหมายของข้าแล้วกระมัง?”
ยามนี้ เซวียฮว่าหนิงดูราวกับแม่ยายผู้มองลูกเขยของนางแล้ว
ชุยจิ๋งเหยี่ยนผงะอึ้ง แม่ข้าเพิ่งพบพานซูอี้ ไฉนนางจึงด่วนสรุปแผนชั่วชีวิตเองเสียแล้วเล่า?
ในทางกลับกับ ซูอี้ยังคงยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสุขุม และอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นสภาพอับอายของหญิงสาว
ทว่า ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากนั้นเอง ร่างของลุงเถา ข้ารับใช้เฒ่าพลันปรากฏขึ้นนอกศาลาต้นสนลมโชย….
“ฮูหยิน ใต้เท้าขอเชิญท่านไปพบที่ ‘หอพินิจอุดร’ ขอรับ”
เซวียฮว่าหนิงฟังวาจาแล้วขมวดคิ้ว