บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 986: หวนคืนสู่วิถีลึกล้ำ
ตอนที่ 986: หวนคืนสู่วิถีลึกล้ำ
…………………………………………………..
ตอนที่ 986: หวนคืนสู่วิถีลึกล้ำ
ภูเขาน้ำเต้าเซียน
เมฆทัณฑ์ม้วนวนบนท้องนภาพลันกระเพื่อมขึ้นลงภายใต้สายตาหวาดกลัวของยมบาล
ทัณฑ์อสนีบาตสีเข้มอันเปี่ยมด้วยปราณต้องห้ามพลันทะยานลงจากส่วนลึกของวังวน
เปรี้ยง!
อสนีบาตทะลวงฟ้าโปรยปรายดุจห่าฝน กระแทกกระทั้นลงสู่แท่นเกิดใหม่
ทันใดนั้น พิรุณแสงก็ถล่มลงมาพร้อมกับเสียงคำรามสะท้านก้อง
ปราณภัยพิบัติทำลายล้างเป็นดั่งอำนาจสูงสุดแห่งสวรรค์ ทำให้นางรู้สึกเจ็บแปลบที่ตา อึดอัดจนแทบหยุดหายใจ
นางแน่ใจมากว่าหากมีทัณฑ์สายฟ้าสักสายฟาดต้องตัวนาง อย่าว่าแต่ขัดขืนเลย แม้จะหนีนางยังทำไม่ได้ และคงถูกฆ่าตายในพริบตาเป็นแน่!
ทว่า นางก็ต้องแปลกใจที่พบว่าแท่นเกิดใหม่ยังคงนิ่งสนิท ไม่สะท้านสะเทือนแม้เพียงน้อย
“นี่มัน…”
ยมบาลสาวตกตะลึง
ในที่สุดนางก็เข้าใจ ว่าเหตุใดซูอี้จึงเลือกพิสูจน์เต๋าขึ้นเป็นจักรพรรดิที่นี่ ที่แท้ศิลาเวียนกำเนิดนี้ก็เพียงพอจะต้านทัณฑ์อสนีบาตได้แล้ว!
“ทว่า แล้วซูอี้ที่สลายไปเล่าอยู่หนใด? หรือจะซ่อนอยู่ในดาบวิถีลึกลับนั่น?”
ก่อนที่นางจะได้เข้าใจ เมฆทัณฑ์เหนือท้องนภาก็ส่งหมู่ทัณฑ์อสนีบาตลงมาบดขยี้ผืนหล้าอย่างดุดันอีกครั้ง
ยามนั้น นภาหล้าดูเหมือนถูกแยกเป็นสอง สูบชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่า เมื่อทัณฑ์สายฟ้าอันแข็งแกร่งนี้กระแทกลงบนศิลาเวียนกำเนิด มันก็ถูกกั้นขวาง ไม่อาจสร้างแรงสะท้านสะเทือนใด ๆ ได้ และในที่สุดก็พังทลายหายไป
ยิ่งเวลาผันผ่าน ความแข็งแกร่งแห่งทัณฑ์สรวงสวรรค์ยิ่งดุร้าย เมฆทัณฑ์เดือดพล่าน พลิ้ววนดุจวังธาร
ทั่วบริเวณสว่างไสวราวยามกลางวัน โดยเฉพาะบนแท่นเกิดใหม่ ทัณฑ์เมฆาสาดกระทบ พิรุณแสงพลิ้วไหวร่ายรำ สว่างจ้าไร้ประมาณ
ดวงตาของยมบาลสาวหรี่จนเป็นเส้นขีด หัวใจสั่นเทากระแทกทรวง ร่างบางอรชรเกร็งทื่อ ไม่อาจควบคุมตนได้
ภัยพิบัติเช่นนี้ไม่เพียงแปลก แต่ยังเหมือนแท่นเกิดใหม่นี้ถูกสวรรค์สั่งห้าม และต้องถูกทำลายสิ้น!
“ภัยพิบัติรู้แจ้งลึกล้ำที่ผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งเผชิญ ณ ภูมิดาราวอนสวรรค์เมื่อนานมาแล้วถูกเรียกขานเป็นมหาภัยพิบัติไร้ใดเปรียบ เขารอดจากมันมาได้และเลื่อนขอบเขตสำเร็จในครั้งเดียว”
“แต่เมื่อเทียบกับมหาภัยพิบัติขึ้นเป็นจักรพรรดิของซูเสวียนจวิน ภัยพิบัติรู้แจ้งลึกล้ำที่ผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งเผชิญก็ดูเล็กจ้อยไปถนัดตา…”
ยมบาลสาวตกตะลึง
ประสบการณ์ของนางมากมาย และเคยได้เห็นมหาภัยพิบัติหายากไร้ใดเปรียบมาหลายหน
ทว่านางไม่ได้คิดเลย ว่าแค่ภัยพิบัติขึ้นเป็นจักรพรรดิยังประหลาดน่ากลัวได้เพียงนี้!
สิ่งนี้ทำให้นางเชื่อ ว่าต่อให้นางเป็นยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ นางก็อาจไม่สามารถรับมือภัยพิบัติเช่นนี้ได้!
ไม่คาดเลยว่าศิลาเวียนกำเนิดจะมิเคยสะทกสะท้านเมื่อถูกภัยพิบัติทำลายล้างเยี่ยงนี้กระหน่ำใส่
มันยืนนิ่งที่เดิม ลวดลายวิถีหนาแน่นบนพื้นผิวแปรเปลี่ยน อำนาจกฎเกณฑ์เวียนวัฏสงสารสีเทาผุดพราย ดูไม่อาจเคลื่อนไหวสั่นคลอน!
ภัยพิบัติรอบแรกหยุดลงในไม่ช้า
เมฆาทัณฑ์สีดำเยี่ยงหมึกบนท้องนภาพลันระเบิดออกเป็นเพลิงสีเงิน ย้อมนภาดำมืดเป็นสีเงินเจิดจ้า
จากนั้น แสงอสนีบาตนับไม่ถ้วนก็ประดังเข้ามา ดุจเกล็ดหิมะสีเงินพร่างพราวโปรยปราย แผ่รัศมีปราณภัยพิบัติทำลายล้างอันตรายถึงตาย
เทียบกับภัยพิบัติรอบแรกแล้ว ภัยพิบัติรอบที่สองนี้ดูน่าหวาดหวั่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
ราวครึ่งชั่วยามต่อมา
เมื่อบททดสอบที่สองจากสวรรค์จบลง แท่นเกิดใหม่ก็ยังคงปลอดภัยสบายดี
ยมบาลสาวที่เห็นทุกสิ่งตะลึงกับที่ จิตใจของนางว่างเปล่าไปแล้ว
นางมีเพียงความคิดเดียวในใจ ว่าภัยพิบัติประหลาดนี่ไม่คิดให้ผู้เผชิญรอดชีวิตเลยสักนิด!
กล่าวก็คือ ผู้ใดเผชิญหน้าภัยพิบัตินี้ต้องตาย!
และซูอี้ก็ดูจะคาดการณ์ไว้เช่นนี้นานแล้ว เขาจึงมายังแท่นเกิดใหม่ล่วงหน้า และต่อกรกับภัยพิบัติด้วยวิธีการที่ทำให้นางยังไม่อาจคาดเดาได้อยู่ดี
เมื่อกาลผันผ่าน เมฆทัณฑ์บนฟ้าก็ยิ่งเกรี้ยวกราดราวกับพร้อมถล่มทุกสิ่งบนโลกหล้า ส่งอำนาจทำลายล้างไร้ประมาณลงมาบดขยี้
ภัยพิบัติรอบที่สามนี้เป็นสีทองสว่างเจิดจ้า แปรสภาพเป็นบงกชนับพัน
เมื่อมันปลิดโปรย ทั่วโลกหล้าก็ถูกย้อมไปด้วยแสงทองสว่างไสว
ภัยพิบัติจากสวรรค์รอบที่สามเป็นสีเขียวครามใสกระจ่าง แปรเปลี่ยนเป็นหุบเขาเซียน ศาลา ตำหนัก และแดนสุขาวดี
จริงอยู่ที่ทุกภาพล้วนงดงามดุจแดนสวรรค์ในตำนาน ทว่าเมื่อภาพดั่งนิมิตเช่นนี้ถล่มลงมา มันก็ระเบิดอำนาจทำลายล้างมหาศาล
ภัยพิบัติจากสวรรค์รอบที่ห้าแปรเปลี่ยนเป็นภาพหลอนของสารพัดสัตว์ร้ายบรรพกาล เช่นปี้อั้น เถาอู้ เฉียงฉี ปี้ฟาง เซี่ยจื้อ และอื่น ๆ
ทว่า ไม่ว่าภัยพิบัติจะมาในรูปแบบใด ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสั่นคลอนทำลายแท่นเกิดใหม่ได้อยู่ดี!
แท่นหยกดำอันรายล้อมด้วยส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสารดูจะไม่อาจถูกทำลายได้ด้วยสิ่งใด ราวกับกำลังสำแดงอำนาจไร้พ่าย ยิ่งใหญ่อมตะ
จนกระทั่งภัยพิบัติรอบที่เก้าปรากฏ…
ยามนี้ นางสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันแข็งแกร่งถึงตายที่กระตุ้นนางจนหนาวเยือกราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
นางหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ปิดหกประสาทสัมผัส และใช้งานวิถีเต๋าของตนเต็มที่อย่างที่ไม่เคยทำ!
เมฆทัณฑ์บนฟากฟ้าซึ่งดูเหมือนวังวนขนาดพันจั้งพลันหดตัวลงอย่างรุนแรง จนในที่สุดก็มีขนาดเพียงสามสิบจั้ง
และรูปร่างของเมฆทัณฑ์ก็แปรเปลี่ยน มันดูราวกับยันต์ใบหนึ่งที่คลี่ออกใต้ผืนฟ้า เรืองแสงสลัวอลหม่าน ทัณฑ์อสนีบาตคดเคี้ยวไหลเวียนบนแผ่นยันต์ราวกับมีชีวิต
ยามนี้ ทั่วโลกหล้าสะเทือนสั่น
ในพิภพยมราชฝังวิถีนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนร้ายกาจที่ซุ่มซ่อนตามที่ต่าง ๆ หรือจะเป็นผู้ฝึกตนแข็งแกร่งที่เดินทางไปตามพื้นที่ต้องห้าม พวกเขาล้วนเปลี่ยนสีหน้าอย่างมหันต์ ความตื่นกลัวอันเกินควบคุมผุดขึ้นในใจโดยพร้อมเพรียง
นี่ดูราวทัณฑ์สิ้นโลกา เพียงบรรยากาศก็ดูราวโลกใกล้สลาย ขยี้ทุกชีวิตบนนั้น!
“จักรพรรดิจะนำมาซึ่งภัยพิบัติเช่นนี้ได้เช่นไร!?”
ซั่งกวนเจี๋ยอุทาน
“อย่าว่าแต่มหาภัยพิบัติในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเลย กระทั่งมหาภัยพิบัติของขอบเขตสานพันธะลึกล้ำยังไม่มีอำนาจโหดร้ายเพียงนี้ก็ได้”
ผู้เฒ่าบางคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ยามนี้ พวกเขาทั้งหมดซึ่งเป็นยอดฝีมือจากเก้ามหาแดนดินเองก็รู้สึกลนลานโดยสัญชาตญาณ
ในโถง ฮั่วเหยาพลันลุกขึ้น และเดินไปยังประตูโถงแล้วเงยหน้ามองนภาที่อยู่ไกลออกไป
“เมื่อนานมาแล้ว ข้าโชคดีพอจะได้เห็นท่านผู้เฒ่ากระจ่างสรวงแห่งกลุ่มเต๋าอันดับหนึ่งของเก้ามหาแดนดิน ‘แดนลี้ลับขั้นเก้า’ พิสูจน์ตนสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำกับท่านอาจารย์ ทว่ายามนั้น ภัยพิบัติสานพันธะลึกล้ำที่ท่านผู้เฒ่ากระจ่างสรวงเรียกมายังไม่ได้มีปราณพิลึกผิดปกติเพียงนี้…”
ฮั่วเหยาพึมพำ ใบหน้าหล่อเหลาของเขามืดหม่น
เย่ลั่วผู้อยู่ในเงามืดของโถงพลันกล่าวว่า “กลัวหรือไร? ข้าแนะนำนะว่าอย่าพยายามหนีเลย ด้วยอำนาจที่เจ้าฟื้นมา เจ้าไม่ใช่คู่ต่อกรข้าเลยสักนิด”
สีหน้าของฮั่วเหยาแข็งค้าง เขาหันกลับมากะทันหัน สายตาจ้องเขม็งไปที่เย่ลั่วผู้อยู่มุมห้อง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มกะทันหัน “อย่าพูดเลยว่าข้ากลัวหรือไม่ บอกได้เพียงว่าหากข้าอยากไปจริง ๆ ศิษย์น้องแน่ใจหรือว่าจะหยุดข้าได้?”
เย่ลั่วลุกขึ้น และกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “สมบัติที่เจ้ามีล้วนชิงมาจากท่านอาจารย์ รวมถึงกระสวยพรางสวรรค์ด้วย ข้าจะหยุดเจ้าแม้ต้องแลกด้วยชีวิต หากอยากลองก็ลองดู”
ทว่าความหมายของวาจานั้นทำให้สีหน้าของฮั่วเหยาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เนิ่นนานจากนั้น ฮั่วเหยาก็นั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง และกล่าวอย่างเฉยเมย “ศิษย์น้อง เจ้ากระวนกระวายเกินไปแล้ว หากข้าอยากหนี ไฉนต้องรอถึงยามนี้ด้วย?”
เขาหลับตาลง และเพ่งสมาธิที่การฟื้นตัวอย่างเงียบ ๆ
ที่มุมโถง เย่ลั่วเองก็นั่งกลับลงไปในมุมมืด
ขณะเดียวกัน…
บนท้องนภาเหนือภูเขาน้ำเต้าเซียน ทัณฑ์อสนีบาตระลอกที่เก้าซึ่งดูเหมือนแผ่นยันต์อันเปี่ยมปราณทำลายล้างสั่นสะเทือนเลือนลั่น ก่อนจะทะยานลงมา
ยามนั้น สุญญะดูจะไม่อาจต้านทานอำนาจทำลายล้างได้อีก มันระเบิดเป็นเปลวเพลิง ฉีกกระชากเกิดรอยแยกนับไม่ถ้วน
ทั่วบริเวณสั่นไหวอย่างรุนแรง
และแผ่นยันต์ยาวสามจั้งก็ฟาดลงมาสู่แท่นเกิดใหม่อย่างไร้เมตตา
ตู้ม!!
ยามนี้ แท่นเกิดใหม่ซึ่งยืนนิ่งมาตลอดก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
ลวดลายวิถีบนแท่นเกิดใหม่เปล่งแสงจ้าออกมาต้านรับแผ่นยันต์เปี่ยมอำนาจ ทว่ายังคงด้อยขั้นกว่าแผ่นยันต์นั้นอยู่เล็กน้อย
ช่างเหลือเชื่อโดยไม่ต้องสงสัย
แม้กฎเวียนวัฏสงสารที่เคลือบบนแท่นเกิดใหม่จะมิได้สมบูรณ์ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสารอยู่ดี
ทว่าทัณฑ์อสนีบาตระลอกที่เก้านี้กลับทรงอำนาจเหนือมันเล็กน้อย!
ในขณะที่แท่นเกิดใหม่ขนาดเก้าจั้งทั้งแท่นกำลังจะถูกอำนาจยันต์แผ่นนั้นปกคลุมนั้นเอง เสียงครวญดาบเสียงหนึ่งก็กู่ก้อง
บนแท่นเกิดใหม่บังเกิดเงาดาบซึ่งถูกเก้าชั้นโซ่ตรวนลึกลับพันธนาการขึ้นเฉียบพลัน
ตู้ม!!!
เสียงระเบิดสะท้านแดนดิน
ยันต์ขนาดสามจั้งซึ่งแผ่ปราณโกลาหลถูกฉีกกระชากออกโดยพลัน!
แสงแห่งทัณฑ์บนท้องนภาสาดกระเซ็น ทั่วหล้าสว่างไสว
ยามนี้ ที่เหนือแท่นเกิดใหม่ แท่นสีดำสนิทเกลี้ยงกระจ่างราวกระจกพลันเปล่งมวลพลังต้นกำเนิดออกมา
ทันใดจากนั้น มวลพลังต้นกำเนิดนั้นก็เริ่มดูดซับแสงแห่งทัณฑ์รายล้อมอย่างบ้าคลั่ง!
วูบ! วูบ!
ยิ่งแสงถูกมวลพลังต้นกำเนิดดูดซับมากเพียงไร มันก็ยิ่งสว่างไสวใหญ่โตขึ้นตามกาล
และร่างอันพร่ามัวร่างหนึ่งก็ค่อย ๆ ผุดออกมาจากพลังต้นกำเนิดอันเจิดจ้าสว่างไสว
ในคราแรกมันพร่ามัวจนแทบมองไม่เห็นดุจเงาโปร่งแสง แต่ไม่นานนัก มันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
จนกระทั่งเมื่อแสงแห่งทัณฑ์ถูกกลืนหายไปจนสิ้น
บนแท่นเกิดใหม่ปรากฏร่างหนึ่งยืนอย่างภาคภูมิ เรือนผมยาวสยาย ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาดุจหยก ดวงตาลึกล้ำกะพริบเปิดปิด แสงสีทองเจิดจรัสปรากฏขึ้นในแววตา และบังเกิดนิมิตอันแสนอัศจรรย์
มีทั้งการเปลี่ยนผันของเวลา สถานการณ์แปรผันบนโลกหล้า วัฏจักรแห่งสรรพสิ่ง เป็นตายพลิกผัน ผลุบโผล่หายไปในธารแห่งประวัติศาสตร์อันแสนยาวไกล…
ร่างสูงนั้นยังคงแผ่อำนาจยิ่งใหญ่ทะลวงสู่เก้าชั้นฟ้าทศทิศ สะเทือนทุกปรากฏการณ์!
เมื่อมองจากไกล ๆ คนผู้นั้นกำลังยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขา จันทรากระจ่างแขวนเหนือศีรษะ ดาบเก้าคุมขังตามติดดุจเงา และแท่นเกิดใหม่ใต้เท้าของเขาก็ปกคลุมด้วยแสงวิถีสม่ำเสมอ
ราวฟ้าดินเถลิงเทพ!
ณ วันนี้ ซูอี้ผู้เวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่เกือบสองปีได้ก้าวข้ามภัยพิบัติเก้าขั้น ทะลวงผ่านขอบเขตหวนคืนสู่วิถีลึกล้ำ!
……….