ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主] - ตอนที่ 514 ร่ำรวยทั้งหมู่บ้าน (1)
ตอนที่ 514 ร่ำรวยทั้งหมู่บ้าน (1)
ตอนที่ 514 ร่ำรวยทั้งหมู่บ้าน (1)
หยุนลี่เต๋ออธิบายเหตุผลให้เหล่าชาวบ้านฟังอย่างอดทน หลังจากกล่าวจบ เพื่อไม่ให้ทุกคนคิดมาก เขาจึงให้คำมั่นว่าภายในปีนี้หากราคาหมูตกต่ำ พวกเขาสามารถขายหมูให้ตระกูลหยุนได้ กล่าวโดยย่อคือเขาจะไม่ให้ความพยายามของทุกคนเสียเปล่า
คำพูดของเขาทำให้เหล่าชาวบ้านอุ่นใจขึ้น พวกเขาคำนวณว่าภายในปีนี้ตนจะมีรายได้เท่าไหร่ก่อนกลับบ้านไปให้อาหารหมู
ในเดือนที่สี่ของปี หยุนลี่เต๋อทำงานอยู่ในนาวันยังค่ำ ก่อนเข้าสู่หน้าร้อน ผิวของเขามักมันขลับและแวววาวไปด้วยหยาดเหงื่อ ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนขายหมูคอกแรก หยุนลี่เต๋อติดต่อพ่อค้าขายหมูรายใหญ่หลายรายจากในท้องถิ่นและมณฑลอื่นมาซื้อหมูที่หมู่บ้านไป๋ซีเพื่อคลายกังวลให้แก่ชาวบ้าน
ในเดือนที่หก พวกเขาขายหมูที่เลี้ยงในหมู่บ้านได้มากกว่าสองร้อยจิน ซึ่งทุกตัวล้วนโตเต็มวัยและอ้วนพี แม่นางเหลียนเชิญอู๋ถูหู่มาเชือดหมูสามตัวเพื่อแจกจ่ายลูกจ้าง ชาวบ้าน และผู้ที่ทำงานบนภูเขา นอกจากนี้นางยังแบ่งเนื้อจำนวนหนึ่งให้หยุนเชวี่ยนำไปส่งให้เถ้าแก่หูที่อาศัยอยู่ในเมือง คุณชายเจิ้ง และพ่อค้าข้าวอีกหลายรายที่มาซื้อข้าวในหมู่บ้านไป๋ซี
หมูตอนไม่เพียงแต่ไม่ก้าวร้าวและเติบโตเร็วเท่านั้น แต่เนื้อของมันนุ่มละมุนลิ้น ‘ไม่มีกลิ่นคาว’ ตามที่หยุนเชวี่ยเคยกล่าวอ้าง เหล่าชาวบ้านมักนำเนื้อเหล่านี้ไปทำเป็นซาลาเปา
ไม่นานสุกรกว่าสองร้อยตัวในหมู่บ้านใหม่ก็ถูกซื้อโดยภัตตาคารหลงชิง รวมไปถึงร้านค้าขายเนื้อรายย่อยในมณฑลอีกด้วย
ในช่วงเวลาหนึ่งกิจการร้านอาหาร ร้านขายเนื้อ และร้านโชห่วยเป็นที่นิยมยิ่งนัก รวมไปถึงเนื้อหมัก หมูสามชั้น ซี่โครงหมูตุ๋น และขาหมูตุ๋นกลายเป็นอาหารอันโอชะที่ขาดไม่ได้ในแต่ละมื้อ
แม้แต่ชาวเมืองยังทักทายกันด้วยคำว่า “ไปซื้อเนื้อรึ?” “เที่ยงนี้เจ้ากินข้าวกับอะไร?” “ไปซื้อเนื้อหมักหรือ?” แทนที่จะทักทายว่า “สบายดีหรือไม่?”
เนื้อหมูที่ถูกเลี้ยงในหมู่บ้านใหม่ของตระกูลหยุนกำลังขาดตลาด ร้านอาหารและร้านขายเนื้อต่างแห่แหนกันมาซื้อเนื้อหมูที่นี่ แม้แต่พ่อค้าจากมณฑลหลินยังถ่อมาซื้อเนื้อหมูของพวกเขา
ครึ่งเดือนต่อมา เนื้อหมูของชาวบ้านหมู่บ้านไป๋ซีและสองหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสองแห่งก็มีราคาสูงขึ้น
ข่าวการเลี้ยงหมูเพื่อเพิ่มรายได้แพร่สะพัดไปยังหมู่บ้านหยวนเป่า หมู่บ้านชื่อโกว หมู่บ้านหนิวเจี้ยว และหลาย ๆ หมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีเงินเพียงพอมักซื้อสุกรยี่สิบตัวมาเลี้ยง ส่วนชาวบ้านที่ยากจนต้องกัดฟันซื้อเพียงตัวเดียว จากนั้นตั้งใจหาเงินแล้วเลี้ยงหมูเพิ่มสักสี่ห้าตัว
หมู่บ้านไป๋ซีเป็นศูนย์กลางในการเลี้ยงหมู ชาวบ้านจากสิบลี้แปดหมู่บ้านต่างเดินทางมาที่หมู่บ้านใหม่เพื่อขอคำปรึกษาจากลูกจ้างของตระกูลหยุน
หยุนลี่เต๋อกำชับเหล่าลูกจ้างว่าต้องอธิบายให้ละเอียด เพราะไม่จำเป็นต้องปิดบังเคล็ดลับอันใด ทุกคนคือชาวบ้านที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ในวันที่แสงแดดแผดเผา เหล่าคนงานต่างทำงานกันอย่างขยันขันแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทุกคนไม่เพียงง่วนอยู่กับการเพาะปลูก แต่ยังแบ่งเวลาไปดูแลหมูที่เลี้ยงไว้อีกด้วย แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่หากไม่ทำก็ต้องยากจนดังเดิม
คอกหมูที่ดีต้องสะอาดและมีอากาศถ่ายเท มูลหมูที่หักจนได้ที่นับเป็นปุ๋ยที่ดีที่สุด นอกจากนี้เหล่าเด็กน้อยอายุประมาณห้าหรือหกขวบต่างสะพายตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลังเพื่อไปตัดหญ้าชนิดต่าง ๆ และนำมาเป็นอาหารหมู
เพียงชั่วพริบตา เทศกาลเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็ผ่านพ้นไป ผู้คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอฤดูหนาว โดยหวังว่าครั้งนี้เนื้อหมูจะกลายเป็นวัตถุดิบที่ผู้คนนิยมมากที่สุดในโลกเหมือนครั้งที่ผ่านมา
ในเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน เมื่อถึงกำหนดซื้อสินค้า พ่อค้าจากมณฑลอื่นก็จะเดินทางมาซื้อสินค้าในมณฑลอันผิง
เนื่องด้วยช่วงปลายปีความต้องการเนื้อหมูพุ่งสูงขึ้น ทำให้เรื่องที่ชาวบ้านกังวลที่สุดไม่เกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม ทุกครัวเรือนขายเนื้อหมูได้ราบรื่นยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมาเสียอีก
ปีนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านไป๋ซีทุกครัวเรือนมั่งมีมากขึ้น ทั้งยังสามารถนำเนื้อสัตว์ไปประกอบอาหารในทุกมื้อได้ นอกจากนี้เด็ก ๆ ต่างสวมเสื้อคลุมกันหนาวบุผ้าฝ้ายทุกคน
ยกเว้นแม่นางเฉินที่เกียจคร้านและละโมบ อาศัยในความหน้าด้านในการดำเนินชีวิต ซานหลางมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว หน้าตาของเขาคมคายหล่อเหลาขึ้นไม่น้อย แม้แต่เด็กเกเรที่เคยวิ่งเล่นกับเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ทำงานช่วยเหลือครอบครัวแล้ว ถึงกระนั้นซานหลางก็ยังโง่งมและตะกละเช่นเดิม
แม่นางเฉินเผยสีหน้าบูดบึ้งก่อนมุ่งหน้าไปยังเรือนของแม่นางเหลียน นางต้องการให้พี่สะใภ้หางานให้ซานหลางทำ เพราะครอบครัวจะได้มีรายรับมากขึ้น นางหว่านล้อมแม่นางเหลียนว่าอย่างไรเสียทุกคนก็คือครอบครัวเดียวกัน เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ตอนนี้ครอบครัวของนางมีกิจการใหญ่โต หากให้ซานหลางเข้าไปทำงานควบคุมคนงานคงจะดีไม่น้อย
แม่นางเหลียนคิดว่าซานหลางไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป ในภายภาคหน้าเขาต้องแต่งงาน เช่นนั้นจะทำตัวลอยชายไม่มีหลักแหล่งเช่นนี้ไม่ได้ นางจึงยังไม่ปฏิเสธแม่นางเฉิน แต่ขอกลับไปปรึกษากับสามีก่อน
หลังจากหยุนลี่เต๋อฟังเรื่องราวทั้งหมด เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องจริงจังเช่นกัน แต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าซานหลางจะขี้เกียจสันหลังยาว ไม่ตั้งใจทำงาน ฉะนั้นหยุนลี่เต๋อจึงเรียกหลานชายมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว
“ซานหลาง แม่ของเจ้าบอกว่าเจ้าต้องการทำงานใช่หรือไม่?” หยุนลี่เต๋อถาม
ซานหลางพยักหน้า “ท่านแม่บอกข้าว่าหากตั้งใจทำงาน ข้าก็จะได้เงิน และถ้ามีเงิน ข้าก็จะสามารถซื้ออาหารอร่อย ๆ ในเมืองได้ขอรับ”
“…” หยุนลี่เต๋อชะงักชั่วครู่ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง “อาสองไม่มีงานสบาย ๆ ให้เจ้าทำ เจ้าคิดว่าตนเองทนทำงานหนักไหวหรือไม่?”
ซานหลางเกาศีรษะพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านแม่บอกว่าข้าแค่ควบคุมคน ไม่ต้องทำอะไรมากมาย!”
หยุนลี่เต๋อ “…” เนื่องจากในปีนี้หมู่บ้านใหม่มีการขายสินค้าจำนวนมาก เขาจึงต้องการลูกจ้างที่ไว้ใจสามารถทำบัญชีและจัดการปัญหาทั้งภายในและภายนอกได้ แต่ซานหลางไม่เคยร่ำเรียนตำรา!
“อารอง ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ?” ซานหลางคลี่ยิ้มพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้า…” หยุนลี่เต๋อตื่นตระหนกเมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้ “เจ้าไปทำงานที่หมู่บ้านใหม่ ให้อาหารและเชือดหมูตามคำสั่งของลุงจางก่อนแล้วกัน” ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นงานที่ต้องใช้แรงงาน อย่างน้อยซานหลางก็ยังนำความรู้เรื่องนี้ไปต่อยอดในภายภาคหน้าได้
“…” ซานหลางไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตนต้องไปให้อาหารหมูและเชือดหมู แต่ด้วยความเกรงกลัวหยุนลี่เต๋อเขาจึงพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้
ในทางกลับกัน แม่นางเฉินดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้ยินว่าซานหลางมีงานทำแล้ว นางวิ่งป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านว่าลูกชายของนางได้ค่าตอบแทนในการทำงานห้าสิบเหรียญ ไม่นานแม่นางเฉินก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหม่ของตระกูลหยุนเพื่อขอให้แม่นางเหลียนจ่ายค่าจ้างของซานหลางให้กับนางโดยตรง
วันที่สิบห้าในเดือนแรกของปี แม่นางเฉินคำนวณไว้แล้วว่าตนสามารถนำเงินค่าแรงของลูกชายที่เก็บออมไว้เพียงพอสำหรับเดินทางเข้าเมืองห้าหกครั้ง เพื่อซื้อซาลาเปาสองชิ้นและเกี๊ยวยี่หร่าหนึ่งชาม
เมื่อพูดถึงซานหลาง นิสัยของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อก่อนเด็กหนุ่มคนนี้เคยขาดวินัย เรียนรู้ความชั่วร้ายทุกอย่างจากพ่อแม่ของเขา ทั้งยังมีเล่ห์โกงสารพัด แต่ในวันนี้เขากลับซื่อสัตย์ขึ้นและอย่างน้อยก็ไม่หลอกลวงผู้ใดอย่างโจ่งแจ้งเช่นในอดีต
จางเล่าซื่อผู้รับหน้าที่ให้อาหารหมูอยู่ที่หมู่บ้านใหม่ เป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขาสามารถแบกกระสอบข้าวสารหนึ่งร้อยกิโลกรรมได้ด้วยเพียงมือเดียว ซานหลางเรียนรู้ทุกอย่างและคอยทำตามคำสั่งของจางเล่าซื่อผู้นี้ แม้ในตอนแรกเด็กหนุ่มจะเกียจคร้านและโต้เถียงจางเล่าซื่ออยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ซานหลางก็เริ่มคุ้นชินกับอาหารการกิน ทำงานและเข้านอนร่วมกับผู้อื่นดังเช่นชายหนุ่มวัยสิบห้าปีที่ควรจะเป็น