ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 800-2 โชคดีทั้งหมดไปตกอยู่ที่เจ้า
ตอนที่ 800-2 โชคดีทั้งหมดไปตกอยู่ที่เจ้า
ยายกัวพยายามลืมตาที่มัวเพราะดื่มไปเยอะ นางบอกว่าอยากนับไข่มุกที่อยู่บนนั้น “สามสิบเม็ด ยี่สิบแปดเม็ด สามสิบสี่เม็ดหรือเปล่า หรือเมื่อครู่ข้านับได้สามสิบสองเม็ดกันนะ”
ท่านย่าหม่า “…”
ตอนนี้นางมีเหตุผลที่จะสงสัยแล้วว่ายายกัวเคยนับเงินค่าขนมผิด วันหน้าต้องตรวจสอบบัญชีของยายกัวให้ดี
ยายเถียนกับคนอื่นๆ สุมหัวกัน สองมือประคองเสื้อด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พูดกับพวกสะใภ้ที่ล้อมเข้ามาอย่างจริงจัง
“อย่าเอามือเข้ามา ไม่เห็นเหรอว่าข้ายังต้องเอาถาดรอง มือพวกเราสาก ลูบส่งเดชเดี๋ยวเป็นขุยหมด”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งถามเฉียนเพ่ยอิงด้วยความอยากรู้ “น้องสะใภ้สาม ของเจ้าเหมือนของท่านแม่หรือไม่ ปักเป็นรูปนกยูง”
เฉียนเพ่ยอิงกลืนอาหารในปาก ยืนขึ้น
“ข้าจะไปเอามาให้ดู เหมือนกัน ก็แค่กระโปรงของข้าแดงกว่าของท่านแม่นิดหน่อย ตรงอักษรเขียนว่ากงเหริน ของท่านแม่เขียนว่าไท่กงเหริน”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบห้าม “ไม่ต้องๆ ข้าก็แค่ถามเพราะอยากรู้ เจ้ารีบนั่งลงกินข้าวเถอะ”
มีเพียงจูซื่อที่ไม่ได้เข้าไปมุงดู
นางดื่มจนเท้าอยู่ไม่สุข เดินไปที่ห้องครัว ยื่นมือที่พันผ้าไว้ชงน้ำผึ้งให้ท่านย่าหม่า
ก่อนหน้านี้จูซื่อได้รับบาดเจ็บ
สามีของนางรับงานทำพวกกล่องบรรจุใช่ไหมล่ะ นางเลยช่วยผ่าไม้ ปรากฏว่าไม่ทันระวังผ่าโดนมือเข้า
เย็นวันนี้ห่อเกี๊ยว เฉียนเพ่ยอิงตามมาช่วยงานจนเสร็จ แต่กลับไม่มีใครเรียกจูซื่อให้ไปช่วย บอกให้นางมานั่งที่โต๊ะก่อน รู้ว่าจูซื่อต้องรักษาตัวไประยะหนึ่ง
แต่เวลานี้ ราวกับจูซื่อไม่รู้สึกเจ็บ เดี๋ยวก็ผสมน้ำให้เป็นน้ำอุ่น เดี๋ยวก็เปิดโถน้ำผึ้ง เดี๋ยวก็หั่นขิงสด
นางเคยเห็นพั่งยาชงน้ำแบบนี้ให้ท่านย่าหม่า บอกว่าดื่มไปเรื่อยๆ รอยบนมือก็จะค่อยๆ หายไป
ท่านย่าหม่าก็ดูชอบ นางต้องทำให้บ้าง
เดี๋ยวนี้ย่าหม่ากลายเป็นคนสำคัญของสะใภ้รองไปแล้ว
ต้องทราบก่อนว่า เมื่อก่อนแค่ค้าขายขนมก็ต้องคอยเอาอกเอาใจ
แม่สามีของนางเหมือนแม่สามีบ้านอื่นที่ไหนกัน
ท่านย่าหม่าขยันทำงานหาเงินทุกวัน ทั้งยังร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยยอมจ่ายเงินซื้ออะไรด้วย
กว่าจะถึงวันตาย แค่ทำงานพวกนี้ก็สะสมทรัพย์สมบัติได้ตั้งเท่าไหร่แล้ว
ใกล้เคียงกับต้นเงินเข้าไปทุกที
แค่เขย่า เงินก็ร่วงกราว
น้องสามเป็นขุนนางใหญ่โต ไม่มีทางมาขอเงินจากแม่แน่นอน
ครอบครัวพี่ใหญ่ก็ไม่แก่งแย่งกับใคร ต้าหลังเอ้อร์หลังโตกว่าจินเป่า เอาเป็นว่าต่อให้ถึงวันนั้นที่ท่านย่าหม่าตาย ต่อให้แต่ละครอบครัวได้แบ่งสมบัติเท่ากัน แม่สามีของนางก็ต้องทิ้งเงินไว้ไม่น้อยแน่
เอาแค่จุดนี้จูซื่อคิดว่า เราต้องแสดงความกตัญญูใช่ไหมล่ะ ท่านย่าหม่าไม่มีทางให้พวกเราทำเสียเปล่าแน่นอน
แต่ไม่คิดว่าตอนนี้ยิ่งควรทำเข้าไปใหญ่เหรอ ไอ๊หยา ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร
ยศพระราชทานคือะไร ไม่ใช่แค่ว่าได้สวมชุดดูดีมีสถานะ
แม่สามีของนางก็เหมือนน้องสาม มีเงินเดือนให้ใช้ทุกเดือนเหมือนกัน
ไม่ผิดแน่นอน นางไปถามน้องสะใภ้สามมาแล้วว่าได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง
สรุปว่าตอนนี้ครอบครัวของพวกนางมีสามคนที่ได้เงินเดือนจากราชสำนัก น้องสาม น้องสะใภ้สาม แม่สามี แถมยังเหมือนน้องสามที่เป็นขุนนางขั้นสี่ แม่สามีก็มียศขั้นสี่ ในหนึ่งปีได้เงินหลายร้อยตำลึง
ในหนึ่งปีได้ข้าวอย่างดีแป้งละเอียดหนึ่งร้อยห้าหู[1] ผ้าทอเก้าพับ
ไหนจะมีเงินค่ากับข้าวค่าถ่านให้อีก ค่าใช้จ่ายจิปาถะ รวมๆ กันก็เท่ากับว่าไม่เพียงแต่ท่านย่าหม่าไม่ต้องขอเงินจากพวกลูกชายมาใช้จ่าย เงินพวกนี้ก็ยังมีให้ใช้ได้ไม่หมด ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังได้เงิน
สรุปว่า นาง จูซื่อ ขอสาบานต่อฟ้า ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป นางจะไม่กล้าทำตัวเลอะเลือนอีก
วันหน้ามีแต่จะตั้งหน้าตั้งตาควักหัวใจแสดงความกตัญญู ทำให้ท่านย่าหม่าอายุยืน
ดื่มเหล้าแล้วก็ชงน้ำผึ้งให้ดื่มหน่อย
ในเมื่อราชสำนักให้เงินมาใช้เปล่าๆ เช่นนั้นเอาเปรียบได้เท่าไรก็เท่ากัน
…
คืนนี้ซ่งฝูหลิงนอนที่ห้องท่านย่าหม่า
ท่านย่าหม่านั่งเช็ดใบทองพลางมองไปที่ม่านประตูเหมือนรอคอย
ผ่านไปสักพักม่านประตูก็ถูกแหวกออก
ท่านย่าหม่าหยุดเช็ดใบทองทันที
นางอาศัยแสงเทียนริบหรี่มองไป
เห็นซ่งฝูหลิงแหวกม่านเข้ามา อยู่ในชุดพระราชทานของย่า
เครื่องประดับศีรษะ เส้นมุกสี่แถบ ประดับดอกโบตั๋น เส้นมุกสองแถบ เมฆมุกยี่สิบสี่กลุ่ม ใบโบตั๋นสิบแปดใบ ประดับดอกไม้สีทองอีกแปดดอก
บนชุดคลุมสีเขียวเข้มมีปักลายนกยูงหกตัว
ชุดกระโปรงท่อนบนเป็นสีแดงพุทรา ท่อนล่างสีน้ำเงิน คอกลม ตรงเอวมีสายคาดทำจากผ้าสีดำ ตรงกลางมีหยกหนึ่งชิ้น
“ท่านย่า ข้าดูสวยไหม”
สองย่าหลานปิดประตูสนุกกันอยู่ในห้อง
ซ่งฝูหลิงกำลังสวมชุดพระราชทานของย่าอย่างสนุกสนาน
ท่านย่าหม่าก็ตามใจ ตัวเองยังไม่ได้ใส่ แอบให้หลานสาวคนเล็กลองใส่ก่อนแล้ว
“สวย”
ท่านย่าหม่าตื่นเต้นจนถือผ้าขี้ริ้วขยับไปนั่งด้านหน้า สีหน้าภาคภูมิใจที่หลานสาวใส่ชุดนี้
เจ้าสวยมาก ทำไมถึงได้สวยขนาดนี้
ไม่รู้ทำไม ท่านย่าหม่าดื่มเหล้าตลอดช่วงเย็นยังไม่ถึงขั้นดีใจจนร้องไห้ แต่เวลานี้น้ำตากลับพรั่งพรูออกมา
“ท่านย่าเป็นอะไรไป” ซ่งฝูหลิงที่มีชุดหนักอยู่บนตัวรีบเข้าไปหา นั่งลงข้างท่านย่าหม่าแล้วถามด้วยความสงสัย
นางแปลกใจ อย่างไรกันนะ นางสวยจนถึงขั้นท่านย่าต้องร้องไห้เลยเหรอ
“เปล่า ไม่มีอะไร เจ้าสวยสะดุดตาเหลือเกิน” ท่านย่าหม่าเอามือเช็ดน้ำตาไม่หยุด
ในความเป็นจริง ตอนที่ซ่งฝูหลิงปรากฏตัวในชุดพระราชทาน เมื่อครู่ย่าหม่าราวกับเห็นภาพหลานสาวคนเล็กแต่งงาน
ต่อมา ห้องของท่านย่าหม่าก็มีเสียงหัวเราะ
ท่านย่าหม่าหัวเราะพลางหยิกแก้มซ่งฝูหลิง”เจ้านี่มันรู้จักโตจริงๆ เอาจุดดีของย่าไปหมด ท่าทางน่าเอ็นดูแบบนี้ ได้ย่ามาชัดๆ…”
ในเวลาเดียวกันที่ห้องของซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงเช็ดเท้าเสร็จก็ไล่คนอื่นๆ ออกไป “พวกเจ้าควรไปได้แล้วหรือเปล่า”
พวกเด็กผู้ชายถึงได้เลิกลูบชุดขุนนางขั้นสี่ ทยอยกันออกไป
หมี่โซ่วยังไม่หนำใจเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าใส่ชุดให้ข้าดูหน่อยสิ จะบอกให้นะ ฮ่องเต้พระราชทานยศให้เจ้า เรื่องนี้ข้าพอใจมาก”
เฉียนเพ่ยอิงที่ใส่ชุดด้วยความยากลำบาก กลับไม่ค่อยสบอารมณ์ มือเท้าเอวพลางพูด
“เหล่าซ่ง ดึกป่านนี้ยังจะให้ข้าใส่อีก ข้าอุตส่าห์ใส่ให้ดูแล้วก็ชื่นชมให้ดีๆ หน่อย อย่านั่งแคะเล็บเท้าไปมองไปได้ไหม”
ไม่กี่วันต่อมา
เมืองเฟิ่งเทียน
ใต้เท้าเว่ยเรียกต้าหลังเข้าไปคุยตามลำพังขณะพักกลางวัน หัวเราะพลางถามเหมือนคุยสัพเพเหระทั่วไป
“รู้หรือยังว่าอาสามของเจ้าได้เลื่อนเป็นผู้ว่าการเขตแล้วนะ เป็นขุนนางขั้นสี่”
วันหน้าเขาเจอซ่งฝูเซิงต้องเรียกว่าใต้เท้าแล้ว
[1] หนึ่งหูประมาณสามสิบกิโลกรัม