ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 801-1 มือซ้ายกำผืนดิน มือขวากำท้องฟ้า
ตอนที่ 801-1 มือซ้ายกำผืนดิน มือขวากำท้องฟ้า
ต้าหลังดวงตาเบิกโพลง “ไม่รู้เลยขอรับ”
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งส่งพวกอาฝูกุ้ยไป
วันนั้นที่ขบวนค้าขายผ่านมา เขายังตั้งใจลาหยุด
เพื่อที่จะได้ไปถามว่า ย่าเขา อาสาม และก็พ่อแม่เขาเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ยินเรื่องนี้
รู้แค่ว่าค้าขายดีมาก ฮ่องเต้พอใจช่วยออกหน้าให้ ถือเป็นเกียรติอย่างสูงส่ง
อาสามของเขาอยู่ที่นู่นก็ทำงานได้ดีมาก คนทุกระดับเป็นต้องยอมสยบ
ใต้เท้าเว่ยมองต้าหลังที่ดีใจจนหน้าแดง ตบบ่าของต้าหลังแล้วพูดเหมือนหยอกล้อ
“อยู่ว่างๆ ไม่เขียนจดหมายหาอาสามของเจ้าหน่อยรึ เจ้าเป็นหลานชายแท้ๆ ต้องร่วมยินดีเรื่องนี้หน่อย อีกอย่าง ต้าหลัง เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้นแล้วนะ เรื่องมีครอบครัวก็จะรอช้าไม่ได้ เรื่องสร้างอนาคตคนหนุ่มยังมีโอกาสอีกมาก”
ต้าหลังเดินออกจากห้องทำงานของใต้เท้าเว่ยราวกับงุนงง
แต่ในใจกลับเข้าใจดี ใต้เท้าเว่ยจะเป็นพ่อสื่อให้เขาเหรอ
ใต้เท้าเว่ยดื่มชาอยู่ด้านใน มองตามหลังต้าหลัง เด็กคนนั้นรีบไปหาหูจือด้วยความตื่นเต้นเพื่อเล่าเรื่องของซ่งฝูเซิง
คิดในใจ ใช่ว่าเขาจะรั้งเด็กคนนี้ไว้ได้
อีกไม่กี่ปี มีความเป็นไปได้สูงที่ซ่งฝูเซิงจะสั่งย้ายหลานชายแท้ๆ ของตัวเองไป
มีอาที่อนาคตไกลแบบนี้อยู่ หลานชายจะไม่เอาไหนก็คงเป็นไปไม่ได้
เขาถึงได้อยากเป็นพ่อสื่อให้จริงๆ
ฝ่ายหญิงไม่ใช่ใครอื่น ลูกสาวของพี่ชายคนที่หกของเขา
ระหว่างเขากับพวกพี่ชาย เขาสนิทกับพี่หกที่สุด
แต่เขาอยู่ไกลขนาดนี้ จะให้เขียนจดหมายไปทาบทามกับน้องซ่งก็ไม่ได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นตัวแทนของฝ่ายหญิง
เรื่องแสดงความยินดีย่อมขาดไม่ได้ ต้องแสดงน้ำใจไมตรี มีของขวัญติดไปให้ ก็แค่ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยถึงเรื่องนี้
คิดไปคิดมา สุดท้ายก็พูดกับต้าหลังสักหน่อย จะให้ดีอยากให้ต้าหลังเอ่ยถึงเรื่องนี้ในจดหมายที่เขียนถึงซ่งฝูเซิงบ้าง
น้องซ่งเป็นคนฉลาด แค่อ่านก็จะเข้าใจ ถ้าอยากรีบให้ต้าหลังมีครอบครัวเร็วๆ เหมือนกันก็จะเป็นฝ่ายมาถามเขาเอง
จากนิสัยการทำงานของน้องซ่ง อาจส่งจดหมายมาบอกว่า ครอบครัวอยู่ห่างไกล พี่เว่ยจะช่วยเป็นธุระให้ได้หรือไม่
แบบนี้ก็เริ่มมีเค้าลางแล้วใช่ไหมล่ะ
ไม่อย่างนั้นพี่หกที่หวงลูกสาวก็พูดแล้วว่า ลูกเขยอย่างต้าหลังเขาก็ถูกใจอยู่หรอก ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมาก ได้ยินเรื่องของครอบครัวซ่งมานานแล้ว พอร่ำรวยก็ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีอะไร ก็แค่จะพยายามเข้าหาให้มากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจะโดนดูถูกเอาได้ แบบนั้นยอมไม่เอาดีกว่า
…
ต้าหลังกับหูจือคุยกันด้วยความดีใจไปตลอดทาง ตั้งใจขอแลกเวรกับคนอื่น พรุ่งนี้เข้าเวรดึก เพื่อที่จะได้กลับบ้านเร็วหน่อย ไม่ต้องพูดถึงว่าดีใจขนาดไหน
พวกเขาสองคนยังไม่ทันไปถึงร้านม้าพันลี้ก็เห็นสุ่ยเถียนที่ทำงานอยู่คลังอาวุธ
สุ่ยเถียนเป็นเหลนบ้านท่านลุงซ่ง พูดจาค่อนข้างติดอ่าง
ไม่อย่างนั้นซ่งฝูเซิงจะพูดเหรอว่า ในบ้านมีคนตาบอด ติดอ่าง ผมแหว่งจนงอกใหม่แล้ว จะยอมให้มีคนหูหนวกไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นคงมีครบหมดพอดี
“ทำไมเจ้าก็กลับมาด้วยล่ะ”
“ยะ ยะ อย่าให้พูดเลย วันนี้ใต้เท้าของข้าใจดี อยู่ๆ ก็เรียกข้าเข้าไปหาแล้วพูดเรื่องที่ข้าตกใจมาก บอกว่าอาสามได้เลื่อนขั้นแล้ว!”
ประโยคสุดท้ายตะโกนด้วยความตื่นเต้น
เอ้อร์เผิงจื่อที่เฝ้าร้านม้าพันลี้ในเฟิ่งเทียนถลึงตามองเด็กหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้า ตะโกนเสียงดัง “เรื่องจริงเหรอ”
“แน่สิ พวกเราทำงานอยู่ในที่ว่าการ จะฟังมาผิดได้อย่างไร”
เอ้อร์เผิงจื่อลุกพรวด สองมือทุบโต๊ะตะโกนเรียกคน “คนนั้นน่ะ เอ้อร์เปียวจื่อ ข้าวานหน่อย กลับไปแจ้งหมู่บ้านเหรินจยาของพวกเราทีว่านายท่านจิ้นซื่อได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่าการเขตแล้ว ไปทำความสะอาดป้ายหินจิ้นซื่อ ให้พวกชาวบ้านจุดธูปเซ่นไหว้เร็ว”
“อะไรนะ ผู้ว่าการเขตเหรอ! งั้นข้าต้องไปแจ้งบ้านไหนล่ะ”
เอ้อร์เผิงจื่อส่ายมือ บ้านไหนก็ได้ เลือกเคาะเอาสักบ้าน
เจ้าเคาะบอกบ้านสองบ้าน รับรองว่าในเวลาหนึ่งก้านธูป หมาแมวเป็ดไก่ได้รู้กันถ้วนหน้าทั้งหมู่บ้าน
ต้าหลัง หูจือ สุ่ยเถียน ไปปรากฏตัวพร้อมกันที่ร้านขนม
เวลานี้ภายในร้านยังมีคนซื้อของอยู่
นับตั้งแต่ไม่ต้องปิดร้านเร็วอีกแล้ว ก็มีหลายคนที่มาซื้อตอนเย็น โดยเฉพาะพวกคนของหอน้ำชา หอละคร หอนางโลม ชอบแบบที่เพิ่งออกจากเตาอบสดใหม่มากกว่า
พวกต้าหลังเก็บงำความดีใจไว้ก่อน รอหลี่ซิ่วที่กำลังคิดเงิน
หลี่ซิ่วหาเวลาว่างมาสั่งพวกเขา “อย่ามัวแต่ยืนเฉยอยู่ตรงนี้ ชุ่ยหลานให้คนเอาขนมถั่วกวนมาให้พอดี เห็นบอกว่าบ้านสกุลโจวทำเยอะจนกินไม่หวาดไม่ไหว เลยแบ่งมาให้สองถุง พวกเจ้าเอาไปอุ่นร้อนๆ กินรองท้องก่อนสิ”
เกี่ยวกับเรื่องขนมถั่วกวน หลี่ซิ่วเคยว่าชุ่ยหลาน “เจ้าอย่าทำฉาบฉวย ให้ของพวกนี้มาทำไมกัน เพิ่งจะได้คุมบัญชีแค่ไม่กี่วัน ครอบครัวเราขาดแคลนของแค่นี้เหรอ”
ชุ่ยหลานก็เชื่อฟัง แอบกระซิบบอก
“ข้าก็แค่คิดว่าเอาออกมาไม่กี่ถุงคนมองไม่รู้หรอก ข้าเองก็ไม่รู้ทำไม อดอยากเอาของกินมาให้ครอบครัวตัวเองไม่ได้ ท่านแม่ไม่อยู่ทางนี้ ถ้าไม่ให้พี่ก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร บ้านเราไม่ขาดแคลนของพวกนี้ก็จริง แต่พี่อย่าเห็นมันไม่มีค่าสิ”
พวกต้าหลังกินขนมถั่วกวนหมดไปสักพักแล้ว หลี่ซิ่วถึงไปหลังร้านในสภาพมีผ้ากันเปื้อนกับผ้าโพกหัวสีชมพู
ระหว่างเดินไปยังได้ดึงกระเป๋าหนังสือของลูกชายพลางดุไปด้วย เล่นเอาเป่าจื่อเสียใจร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล
พอฟังจบ “ว่าอย่างไรนะ หืม อ๊า!”
“เอ๊ะ ไม่ถูกสิ ตอนพวกฝูกุ้ยผ่านมาไม่เห็นพูดถึงเลย”
“พ่อข้ากับพวกอาฝูกุ้ยก็คงไม่รู้เหมือนกัน อยู่ระหว่างเดินทางตลอด”
หลี่ซิ่วหัวเราะออกมาทันที ไม่สนใจกลับไปที่หน้าร้านอีกแล้ว สั่งให้สาวใช้สองคนในร้านสวมหมวกกันหนาวไปหาคนรับจ้างที่ไปอำเภออวิ๋นจงกับหมู่บ้านโจวจยา ฝากคำพูดไปบอกต้ายากับชุ่ยหลานว่า อาสาม พี่สามของพวกนางได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่าการเขตแล้ว
พอสาวใช้กลับมาก็รายงาน
“เถ้าแก่ ข้าไปบอกคนรับจ้างของสองที่นั้นให้แล้ว ลองเดาดูสิว่าพวกเขาเป็นอย่างไร”
“อย่างไร”
“คนที่มาจากอำเภออวิ๋นจงยังพอไหว แค่อึ้งไปสักพักแล้วก็ร้องตกใจ ทั้งยังพูดน้ำลายกระเด็นให้คนอื่นๆ ฟังว่า เรื่องนี้เกิดกับนายท่านจิ้นซื่อของหมู่บ้านเหรินจยาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เดาได้นานแล้ว แต่คนที่มาจากหมู่บ้านโจวจยาตะลึงเกือบตกลา ฮ่าๆๆ”
เวลานี้หลี่ซิ่วพอระงับความดีใจได้บ้างแล้ว ไม่ได้หัวเราะเสียงดังแบบสาวใช้
แต่ก็ยิ้มพลางทำเสียงหึ “ทางที่ดีคนแจ้งข่าวตะโกนให้ดังๆ หน่อย เอาให้รู้กันทั้งหมู่บ้าน พวกคนแซ่โจวจะได้เก็บไปคิดให้ดี ไม่ใช่นายอำเภออีกต่อไปแล้ว เป็นผู้ว่าการเขต นึกถึงตอนนั้นที่พอพี่สามของชุ่ยหลานย้ายไป พวกคนแซ่โจวก็สั่งให้ไหว้นั่นไหว้นี่ แถมพอครบสามวันก็ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงด้วยกัน ข้านึกแล้วยังแค้นไม่หาย”
ไม่กลับมาด้วยกัน ปล่อยให้เจ้าสาวหมาดๆ กลับมาตามลำพัง ข้างกายมีสาวใช้แค่คนเดียว ชุ่ยหลานอาจจะยอมแสร้งทำเป็นลืมเพื่อให้อยู่กันต่อได้
แต่เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องค้างคาใจสำหรับคนในครอบครัวที่ตอนนั้นต่างเฝ้ารอ
พูดได้เพียงว่า ตอนนั้นที่ไม่มีใครแอบเอาไปนินทาหัวเราะเยาะลับหลังเป็นเพราะครอบครัวซ่งวางตัวดีมาหลายปี