หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 854 ท่านอาจารย์ชาย (1)
ตอนที่ 854 ท่านอาจารย์ชาย (1)
หนานกงมั่วนวดหว่างคิ้วของตนเอง “เหลียนซิง เจ้าก็อย่าได้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไป ในช่วงหลายวันนี้น่าจะมีชาวบ้านจำนวนมากจากเฉินโจวและจิ่นโจวผ่านทางเข้ามาที่นี่ เจ้าไปจัดการให้คนเตรียมโจ๊กและสถานที่ลี้ภัยชั่วคราวก่อนเถิด ไม่ต้องให้วุ่นวายมาก พวกเขาอยู่ไม่นานก็คงจะจากไป”
ชวีเหลียนชิงหุบยิ้มลงทันที พยักหน้ารับคำด้วยท่าทางจริงจัง “จวิ้นจู่โปรดวางใจ บ่าวจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไร ยามนี้จะให้เย่ว์โจวเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่ได้ เฉินโจวและจิ่นโจวก็จะต้องสงบลงโดยเร็วที่สุด”
ทั้งสองคนรับคำโดยพร้อมเพรียง ฉินจื่อซวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “จวิ้นจู่ ท่านได้ส่งข่าวการศึกและข่าวของเย่ว์โจวกลับไปยังโยวโจวบ้างหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มออกมา “คุณชายฉินช่างคิดอ่านได้รอบคอบนัก ข่าวการรบของเย่ว์โจวได้ส่งไปแล้ว แต่ช่วงนี้ข้ายุ่งจนลืม เช่นนั้นก็ส่งข่าวของเฉินโจวกับจิ่นโจวกลับไปพร้อมกันเลยเถิด”
ฉินจื่อซวี่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ให้จวิ้นจู่ขอเงินค่าเสบียงอาหารจากเยี่ยนอ๋องไปด้วยเลยจะดีที่สุด”
ชวีเหลี่ยนซิงเอ่ยตอบ “บ่าวเกรงว่าตอนนี้จวนเยี่ยนอ๋องคงไม่สามารถสนับสนุนเงินเราได้มากนักเจ้าค่ะ”
ฉินจื่อซวี่ส่ายหน้า “การจะให้หรือไม่เป็นเรื่องของเยี่ยนอ๋องแล้ว ส่วนเรื่องจำเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือจากเยี่ยนอ๋องหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของจวิ้นจู่กับคุณชาย ในฐานะผู้อาวุโสกว่าย่อมอยากให้ผู้น้อยพึ่งพาตัวเองให้มากอยู่แล้วเป็นธรรมดา”
หนานกงมั่วหลุบตาลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นแย้มยิ้ม “คุณชายฉินเชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้มากกว่าพวกเราจริงๆ ขอบคุณคุณชายฉินที่เตือนข้า”
ฉินจื่อซวี่ยิ้มเล็กน้อย “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
…
หนานกงมั่วและคนอื่นยังไม่ทันได้จัดการเรื่องเฉินโจวให้เรียบร้อย คุณชายเว่ยก็กลับมาแล้ว
แต่เขากลับมาคนเดียว ไม่ได้กลับมาพร้อมกับกองทัพ หนานกงมั่วเห็นเว่ยจวินมั่วกลับมาจวนว่าการในสภาพคลุกฝุ่นก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะดีใจขึ้นมาในทันที “เอาชนะจิ่นโจวได้แล้วหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเล็กน้อย ยื่นมือไปรวบตัวนางเข้ามาในอ้อมอก “อู๋สยา ข้ากลับมาแล้ว”
เมื่อหนานกงมั่วอยู่ในอ้อมแขนของเขา หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล “อีกสักพักพวกเราก็จะไปหาท่านแล้ว ท่านจะเดินทางมาที่นี่ทำไมกัน” กองทหารนับแสนไม่สามารถไร้ผู้นำได้ แล้วเว่ยจวินมั่วที่ต้องอยู่ในการสู้รบเป็นเวลาหลายวันก็เคร่งเครียดมากพอแล้ว เขายังอุตส่าห์เดินทางกลับมาที่นี่อีก ต่อให้เป็นคนที่เก่งกาจเพียงใดก็ย่อมต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแน่นอน หนานกงมั่วยกมือขึ้นลูบใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงแววเหนื่อยล้าพลางเอ่ยอย่างจนใจ
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ทัพใหญ่สู้รบอย่างหนักมาหลายวันแล้ว จำเป็นต้องพักเตรียมความพร้อมของกองทัพสักระยะ ข้าจึงมารับเจ้าไปยังเฉินโจว”
หนานกงมั่วพยักหน้า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันฉินจื่อซวี่ก็เดินทางล่วงหน้าไปเฉินโจวก่อนแล้ว แม้จะกล่าวว่าเย่ว์โจว เฉินโจว และจิ่นโจวอยู่ไม่ไกลกันมีเขตแดนติดกัน แต่เฉินโจวก็สำคัญที่สุดในบรรดาสามเมือง และก็เป็นเหตุผลที่จังติ้งฟังเลือกประจำการอยู่ที่เฉินโจวในตอนนั้นด้วย คิดว่าต่อไปเฉินโจวก็จะยังเป็นที่ตั้งค่ายฐานที่มั่นของพวกนางอีกเนิ่นนาน หนานกงมั่วเองก็เตรียมการสำหรับการเดินทางไปเฉินโจวนานแล้ว
“ท่านไปพักผ่อนก่อน แล้วอีกสองวันเราค่อยออกเดินทางกันดีหรือไม่”
คุณชายเว่ยพยักหน้า “ตามใจเจ้า”
หลังจากเว่ยจวินมั่วกลับไปที่ห้องแล้วชำระร่างกายเรียบร้อย เขาก็เอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วหลับตาพักผ่อน หนานกงมั่วเห็นว่าเขานอนแล้วก็ยิ้มออกมา คิดจะลุกจากไปห้องหนังสือเพื่อจัดการธุระต่างๆ ทว่านางยังไม่ทันจะลุกขึ้นก็ถูกดึงเอาไว้ก่อน หนานกงมั่วหันมองก็เห็นว่ามือข้างหนึ่งของเว่ยจวินมั่วกำลังดึงข้อมือของนางอยู่ นัยน์ตาสีม่วงที่ปิดอยู่เมื่อครู่นี้พลันลืมตาขึ้นมองนางอย่างเงียบสงบ
“มีอันใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“อยู่เป็นเพื่อนข้าสักพัก” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงของเขาไม่ได้บังคับ ไม่อ่อนแอหรืออ้อนวอน ทว่ากลับทำให้ใจของหนานกงมั่วอ่อนยวบลงทันที นั่งลงข้างๆ เขาอีกครั้ง แขนยาวของเว่ยจวินมั่วรวบนางมากอด หนานกงมั่วจึงตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา “นอนกับข้า”
หนานกงมั่วยิ้มออกมา อิงแอบเข้าไปในอ้อมแขนของเขาในท่าที่สบายโดยไม่ดิ้นรนขัดขืน หลายวันมานี้นางค่อนข้างเหนื่อยจริงๆ จะพักผ่อนบ้างบางครั้งก็คงไม่เป็นไรหรอก
ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่ได้หลับ พวกเขากลับนอนคุยกันไปเรื่อยๆ เว่ยจวินมั่วเล่าเรื่องในสนามรบของตัวเอง หนานกงมั่วก็เอ่ยถึงรายละเอียดและแนวคิดบางอย่างเรื่องการปกครองเย่ว์โจวของนาง เอ่ยไปเอ่ยมาหนานกงมั่วที่ง่วงงุนก็ชิงหลับไปเสียก่อน
เว่ยจวินมั่วเอนตัวอยู่บนเตียง หลุบตามองใบหน้าที่หลับใหลของผู้หญิงในอ้อมแขนตน เขายกมือขึ้นลูบรอยคล้ำจางๆ ใต้เปลือกตาของนางแผ่วเบา ร่องรอยอารมณ์อ่อนไหวผิดปกติวาบผ่านดวงตาสีม่วง เขาลดศีรษะลงและจูบเปลือกตาของนางเบาๆ
บนทางเดินในสวน หลิ่วหันขวางทางชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“น้าหลิ่วหรือ” ซังเจี้ยวมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความงงงวย หลิวหันยิ้มพลางเอ่ย “คุณชายเจี้ยวกำลังจะไปหาจวิ้นจู่ตอนนี้หรือเจ้าคะ”
ซังเจี้ยวพยักหน้า “ข้าได้ยินมาว่า…ท่านอาจารย์ชายกลับมาแล้วก็เลยจะไปคารวะขอรับ” เขาอาศัยอยู่ในจวนว่าการมาหลายวัน ใบหน้าซีดเหลืองของซังเจี้ยวแต่เดิมจึงเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว ใบหน้าน้อยนั้นมีความอ่อนเยาว์และไร้เดียงสา แต่ดวงตาคู่นั้นคมกริบเกินไปจนทำให้ใครต่อใครรู้สึกว่าไม่ใช่ดวงตาที่เด็กวัยนี้ควรจะมี
หลิ่วหันเอ่ย “คุณชายเพิ่งกลับมาเหนื่อยมากและกำลังพักผ่อนอยู่ หากคุณชายเจี้ยวต้องการคารวะ ไว้ค่อยมาอีกครั้งเถิด”
ซังเจี้ยวพยักหน้า “ขอบคุณน้าหลิ่วที่เตือนข้าขอรับ ข้าจะกลับไปห้องหนังสือก่อน” แม้จะบอกว่าเขาเป็นศิษย์ของหนานกงมั่วแล้ว แต่ซังเจี้ยวก็ยังเด็กและไม่มีพื้นฐาน ดังนั้นยามนี้นอกจากหลิวหันหรือซิงเวยที่รับผิดชอบในการปูพื้นฐานให้เขาทุกวันแล้ว ก็จะเป็นเพียงการอ่านและฝึกคัดลายมือในห้องหนังสือ โชคดีที่เขาเรียนรู้วิชาพื้นฐานได้ดีจึงไม่จำเป็นถึงกับต้องจับมือสอน ยามที่ฉินจื่อซวี่อยู่ ฉินจื่อซวี่ก็จะบรรยายให้เขาฟังเป็นครั้งคราว เมื่อฉินจื่อซวี่จากไปแล้ว หนานกงมั่วก็หาเวลามาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ควบคู่กันไป ซังเจี้ยวเป็นเด็กที่ฉลาดมาก แม้ว่าตอนนี้ส่วนใหญ่แล้วเขาจะฝึกฝนวิทยายุทธอยู่ก็ตาม ทว่าการอ่านเขียนของเขาก็ไม่ได้ด้อยลงไปเลย หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายวันหนานกงมั่วก็ยิ่งรู้สึกชอบลูกศิษย์ตัวน้อยที่มาพึ่งพาอาศัยนางผู้นี้ขึ้นมาก นางวางแผนจะหาอาจารย์ให้เขาอย่างเป็นทางการเมื่อลงหลักปักฐานที่เฉินโจวแล้ว ในเมื่อรับเขาเป็นศิษย์แล้วก็ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตเขา
หลิ่วหันเองก็มีความประทับใจที่ดีต่อซังเจี้ยว หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย เขายังคงสงบนิ่งไม่อวดดีไม่ร้อนรน สิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจของเขาไม่บิดเบี้ยวหรือมืดมนคาดเดาไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีวินัยและรู้จักควบคุมตัวเอง
“ไปเถิดเจ้าค่ะ หากคุณชายและจวิ้นจู่ตื่นแล้วบ่าวจะให้คนไปแจ้งให้ท่านทราบ” หลิ่วหันเอ่ยเสียงเบา
“อืม เช่นนั้นข้าขอตัวแล้ว…”
“มีอันใดหรือ” ซังเจี้ยวยังไม่ทันจะหันหลังกลับไป เสียงของเว่ยจวินมั่วก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของหลิ่วหัน หลิ่วหันรีบหันกลับไปทันที “คุณชาย”
สายตาของเว่ยจวินมั่วหยุดอยู่ที่ซังเจี้ยวที่อยู่ด้านหลังหลิ่วหัน เขาเลิกคิ้วและไม่เอ่ยอันใด เมื่อครู่นี้อู๋สยาบอกเขาเรื่องที่นางรับศิษย์ไว้คนหนึ่งแล้ว เว่ยจวินมั่วกลับสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าเด็กแบบใดกันที่สามารถทำให้อู๋สยายอมรับเป็นศิษย์ได้ ยามนี้เมื่อได้เห็นแวบแรก…หน่วยก้านไม่เลวเลยจริงๆ เขาดูเหมือนเด็กฉลาดและมีจิตใจมั่นคงคนหนึ่ง
“ซังเจี้ยวคารวะท่านอาจารย์ชายขอรับ” ซังเจี้ยวก้าวเข้าไปข้างหน้าทำความเคารพ
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเล็กน้อย “ตามสบาย”
ซังเจี้ยวจับจ้องสายตามองประเมินของเว่ยจวินมั่ว แล้วจึงกล่าวขอบคุณพร้อมกับลุกขึ้น
เว่ยจวินมั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมามอบให้ “เจ้าสามารถฝึกฝนวิชาการต่อสู้ของอู๋สยาได้จนถึงที่สุด หลังจากเจ้าอายุสิบห้าปีแล้ว หากเจ้าสามารถสำเร็จขั้นต้นได้ ข้าจะสอนเจ้าแทนนางเอง”