หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 85-2 ค้นพบชาติกำเนิด (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 85-2 ค้นพบชาติกำเนิด (2)
ตอนที่ 85-2 ค้นพบชาติกำเนิด (2)
ในอ่างน้ำมีพลั่วไม้น้อยของวั่งซูลอยอยู่ จูเอ๋อร์คว้าพลั่วไม้น้อยกำลังจะโจมตีกลับ แต่แล้วมันกลับยัดพลั่วไม้น้อยใส่มือของเสี่ยวไป๋ จากนั้นปาดแป้งบนใบหน้าอย่างลนลาน ก่อนจะคู้ตัวหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เอามาจากไหนก็ไม่ทราบผืนหนึ่งออกมากรีดนิ้วร้องไห้กระซิกๆ อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
เฉียวเวยเดินเข้ามาเห็นภาพ…เสี่ยวไป๋กดจูเอ๋อร์ลงอ่างน้ำอย่างโหดเหี้ยมแล้วถือพลั่วไม้อันน้อย กำลังจะตีจูเอ๋อร์จนหัวแบะ จูเอ๋อร์ถูกตีจนจมูกเขียวหน้าบวม เนื้อตัวสั่นเทา น้ำตาร่วงพรู
เฉียวเวยมองสัตว์ทั้งสองตัว แล้วมองสิ่งของที่ระเนระนาดอยู่เต็มพื้น นางหิ้วเสี่ยวไป๋ขึ้นมา “ไม่ตีสักวันก็ซนจนจะขึ้นไปรื้อหลังคาแล้วใช่หรือไม่”
เสี่ยวไป๋หงอทันใด
เฉียวเวยหิ้วเสี่ยวไป๋ออกไปข้างนอก เสียงกรีดร้องของเสี่ยวไป๋ดังมาจากในลานเรือน
จูเอ๋อร์ยิ้มอย่างได้ใจ มันหยิบกระจกไม้ท้อบานน้อยขึ้นมาทัดดอกไม้ดอกน้อยที่ไม่มีอยู่จริงดอกหนึ่งบนหัว พอเฉียวเวยเดินเข้ามา จูเอ๋อร์ก็โยนกระจกไม้ท้อกลับไปที่เดิม จากนั้นก็ดึงดอกไม้น้อยที่ไม่มีอยู่จริงบนหัวลงมาโยนไปที่มุมห้อง
เฉียวเวยหิ้วจูเอ๋อร์ออกไปด้วย
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็นั่งเข้ามุมสำนึกผิดเรียงกันอยู่ตรงระเบียงทางเดิน สัตว์ทั้งสองตัวจมูกเขียวหน้าบวม ในรูจมูกยัดสำลีน้อยก้อนหนึ่ง
จูเอ๋อร์ยู่ปากอย่างคับแค้น
เสี่ยวไป๋หมุนตัวไปเด็ดดอกไม้น้อยที่ไม่มีอยู่จริงดอกหนึ่งมาวางไว้ในมือของจูเอ๋อร์
จูเอ๋อร์รับดอกไม้น้อยมาแล้ว ก็จับงูพิษลูกรักที่ไม่มีอยู่จริงตัวหนึ่งใส่เข้าไปในตะกร้าสะพายหลังใบน้อยที่ไม่มีอยู่ของเสี่ยวไป๋
สัตว์น้อยทั้งสองตัวจับมือกัน นับจากนี้จะเป็นสหายสัตว์ที่ดี
ภายในห้องมีของที่เป็นความลับมากมาย หากจะให้สาวใช้มาเก็บ เฉียวเวยก็ไม่วางใจ
เฉียวเวยเริ่มลงมือจัดเก็บสิ่งของที่ระเกะระกะ นางมองตลับแป้งชาดที่แตกระจุยอยู่บนพื้น หัวใจของหญิงสาวเจ็บปวดนัก เมื่อเก็บกวาดสิ่งเหล่านี้เสร็จนางก็ไปที่อ่างน้ำ ในอ่างน้ำมีตำราเล่มหนึ่งจมอยู่ มันก็คือตำราชื่อดอกไม้ที่พบอยู่ในไหของผู้พิทักษ์เหลียน
เฉียวเวยลับตาสูดลมหายใจลึกๆ โนเวลพีดีเอฟ
เจ้าตัวน้อยสองตัวนี้ ไปรื้อมันออกมาได้อย่างไรกัน!
เฉียวเวยหักห้ามความรู้สึกอยากจะไปซ้อมเจ้าสัตว์ทั้งสองตัวอีกสักยก แล้วหยิบตำราขึ้นมา ผึ่งไว้บนราวเหนือกระถางไฟ เดิมทีนางต้องการจะย่างมันให้แห้ง แต่ไม่รู้ว่าเฉียวเวยคิดไปเองหรืออย่างไร บนตำรากลับไม่มีตัวอักษรแล้ว!
เฉียวเวยขยี้ตา นางมองไปที่ตำราชื่อดอกไม้อีกหน แล้วก็พบว่าตัวอักษรบนตำราหายไปแล้วจริงๆ เฉียวเวยพลิกตำราดูหลายหน้า บางหน้าหายไปจนหมด บางหน้าก็กำลังหายไปอย่างช้าๆ
“เอ๋ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า” ระหว่างที่เฉียวเวยขบคิดไม่ออกอยู่นั่นเอง เรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็พลันเกิดขึ้น
ในหน้ากระดาษตรงกลางที่ตัวอักษรเลือนหายไปจนเหลือเพียงกระดาษเปล่า จู่ๆ ก็มีเงาดำดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาทีละน้อย เงาดำนั่นแผ่ขยายออกมาบนหน้ากระดาษ กลายเป็นลวดลายอักขระแปลกประหลาดจำนวนหนึ่ง เมื่ออักขระรวมเข้าด้วยกัน แผนที่เทือกเขาประหลาดแผ่นหนึ่งก็ปรากฏออกมา
ปลายนิ้วของเฉียวเวยไล้ไปตามผ่านแผนที่ เมื่อไล่ไปจนถึงบันไดที่ลอยอยู่กลางอากาศนั่น นางก็ตกตะลึง “นี่มันบันไดสวรรค์ของเทือกเขาหมั่งฮวงไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยไปที่ห้องของเฮ่อหลันชิง แล้วส่งแผนที่ให้เฮ่อหลันชิง
เฮ่อหลันชิงจึงพาลูกสาวสุดที่รักกับองครักษ์เกราะทมิฬหลายคนเข้าไปในเทือกเขา ไปถึงบันไดสวรรค์ตามสถานที่ที่แผนที่ระบุไว้
“เหมือนจะเป็น…ทางใต้” เฉียวเวยมองแผนที่แล้วถามขึ้นมา
เฮ่อหลันชิงส่งสัญญาณมือให้องครักษ์เกราะทมิฬ
องครักษ์เกราะทมิฬเรียงแถวหน้ากระดานทางทิศใต้แล้วชักมีดสั้นในอกเสื้อออกมาขุดพื้น หลังจากขุดหลุมขนาดใหญ่ออกมาหลุมแล้วหลุมเล่า องครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งก็ตะโกนอย่างประหลาดใจ “จั๋วหม่า! มีของสิ่งหนึ่งอยู่ตรงนี้ขอรับ!”
เฮ่อหลันชิงสั่งว่า “ขุดออกมา”
องครักษ์เกราะทมิฬคนนั้นขุดต่อไปอีกหนึ่งฉื่อก็ขุดไหดองผักใบหนึ่งออกมาได้ ไม่เสียทีมีชาติกำเนิดเป็นสาวใช้ ต่อให้เข้าไปอยู่ในตำหนักเซียนแล้วอย่างไร ตอนซ่อนของก็ยังคิดว่าไหดองผักเป็นสถานที่ที่นางวางใจที่สุด
องครักษ์เกราะทมิฬผู้นั้นเอ่ยว่า “จั๋วหม่าโปรดถอยไปก่อน เกรงว่าจะมีกลไก”
“อืม” เฮ่อหลันชิงตอบรับนิ่งๆ แล้วปกป้องเฉียวเวยไว้ด้านหลังตนเอง
องครักษ์เกราะทมิฬสวมหมวกเกราะป้องกันศีรษะไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นเขาจึงใช้มีดสั้นแกะผนึกบนไหออก ไม่ผิดจากที่คาด ควันสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นมารมใบหน้าขององครักษ์เกราะทมิฬผู้นั้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
โชคดีที่เตรียมตัวป้องกันไว้ก่อนแล้ว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเมื่อเขาถอดหมวกเกราะออกมา ใบหน้าก็ยังถูกควันพิษที่ราวกับคลื่นความร้อนเผาทำร้าย ยังดีที่บาดเจ็บไม่ร้ายแรง ใช้น้ำแข็งประคบสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว
องครักษ์เกราะทมิฬเทของด้านในออกมาพบว่ามันเป็นกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่ง องครักษ์เกราะทมิฬไม่กล้าประมาท เขาขอมีดสั้นที่บางยิ่งกว่าเล่มเก่ามาจากสหายแล้วกรีดขี้ผึ้งที่ปิดผนึกกล่องไปทีละด้าน สุดท้ายเขาก็เปิดกล่องออกมาได้ แล้วนำ ‘หยกขาวชิ้นใหญ่’ ที่อยู่ด้านในออกมา ทุกคนตกตะลึง
บน ‘หยกขาวก้อนใหญ่’ มีมังกรพยัคฆ์ตัวหนึ่งขดอยู่ด้านบน ด้านล่างของ ‘หยกขาวก้อนใหญ่’ สลักตัวอักษรหนักแน่นบรรจงไว้แปดตัว ‘รับบัญชาสวรรค์ ปกครองบ้านเมืองผาสุข’
เฉียวเวยมองมารดาของตนเองอย่างตกตะลึง “หาราชลัญจกรของเยี่ยหลัว…พบแล้ว”
…
เมื่อฟ้าสางเฉียวเวยก็นำราชลัญจกรหยกไปที่เกาะอิ๋นหูของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
จีหมิงซิวกับราชันอสูรอยู่ที่เกาะตลอดทั้งคืน จีหมิงซิวมองไปทางตำหนัก ที่นั่นร่างของมารดาเขาหลับใหลอยู่ แต่เขากลับไร้หนทางจะพานางกลับบ้าน
ราชันอสูรเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาลดังกร้วมๆ
หลังจากไม่มีจักรพรรดิอสูรแย่งของจากเขา ชีวิตของราชันอสูรก็เต็มไปด้วยความสุข!
เฉียวเวยฟังเสียงเคี้ยวกร้วมๆ แล้วเดินตามไปจนหาพวกเขาทั้งสองคนพบ “หมิงซิว ข้าหาราชลัญจกรหยกพบแล้ว! เปิดโปงตัวตนของอวิ๋นชิงกับอวิ๋นซู่ได้แล้ว!”
“หาพบได้เช่นไร” จีหมิงซิวถาม
“จำตำราชื่อบุปผาเล่มนั้นได้หรือไม่ แผนที่อยู่ในตำรานั่นเอง ตองเปียกน้ำจึงจะปรากฏ” เฉียวเวยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จีหมิงซิวฟังอย่างกระชับย่นย่อ “…คิดไม่ถึงว่านางจะซ่อนมันไว้ที่ตีนบันไดสวรรค์ บันไดสวรรค์เป็นเส้นทางสู่เมืองอวิ๋นจงที่อันตรายเกินไปจึงมีคนเดินทางน้อย หากนางฝังอยู่ใกล้ทางน้ำล่ะก็…”
“บันไดสวรรค์หรือ” ทันใดนั้นจีหมิงซิวก็พึมพำขึ้นมา
เฉียวเวยมองเขาอย่างฉงน “อะไรหรือ”
จีหมิงซิวครุ่นคิดบางสิ่ง “เกาะอิ๋นหูเองก็มีเส้นทางสองเส้นเช่นกัน เส้นทางเข้าไปยังตำหนักไม่ได้มีเพียงทางเดียว…”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของจีหมิงซิวก็ทอประกายวาววับก่อนจะเดินไปทางคุกใต้ดินที่เคยคุมขังจักรพรรดิอสูร อาณาเขตของคุกใต้ดินซับซ้อน มีเส้นทางลับเชื่อมต่อกันเส้นแล้วเส้นเล่า แต่จีหมิงซิวก็ยังตามหาเส้นทางที่เชื่อมไปยังตำหนักบรรทมพบได้อย่างแม่นยำไม่มีพลาด
เมื่อเขามาถึงตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจาหมิงในที่สุดก็ต้องตกตะลึงยามพบว่าโลงศพขององค์หญิงเจาหมิงไม่อยู่ที่นี่แล้ว!
ผู้ใด…
ผู้ใดนำโลงศพขององค์หญิงเจาหมิงไป
“โอ้ย แย่แล้วๆ จั๋วหม่าน้อย!” เรือน้อยลำหนึ่งแล่นมาเทียบฝั่ง ผู้พิทักษ์เจิงวิ่งหอบแฮ่กเข้ามา “เมื่อครู่ข้า…ไปที่ห้องนอนของเจ้าลัทธิอวิ๋นซู่เพราะอยากจะดูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ตายแล้วหรือยัง…แต่ว่า…”
เฉียวเวยจ้องเขา “แต่ว่าอะไร”
ผู้พิทักษ์เจิงกลืนน้ำลายลงลำคออันฝืดเฝื่อน “แต่ว่าเขาหายตัวไปแล้ว”
…
ภายในเรือนอันเงียบสงัด สายลมหนาวโชยพัด กงซุนฉางหลีนั่งชงชากาหนึ่งอยู่ในศาลาอย่างเงียบๆ มืองามดั่งหยกสลักยกกาน้ำชาขึ้นรินชาร้อนถ้วยหนึ่งอย่างเชื่องช้า
เขายกชาร้อนขึ้นมาแต่ไม่ดื่มเอง กลับส่งมันให้องครักษ์หนุ่มที่อยู่ด้านข้าง “ดื่มชาเสร็จแล้วก็กลับต้าเหลียงเถิด”
องครักษ์หนุ่มรับชาไปแล้วตะโกนรับคำอย่างเบิกบานใจ “ดีขอรับ! ข้าจะไปเก็บของ!”
กงซุนฉางหลีเอ่ยว่า “เก็บข้าวของเฉพาะของเจ้าเอง”
องครักษ์หนุ่มชะงัก “ท่านไม่ไปหรือ”
กงซุนฉางหลีไม่ตอบ เกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งลอยละล่องลงมาสัมผัสหัวไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบา
หญิงรับใช้นางหนึ่งซอยเท้าเดินเข้ามาคำนับกงซุนฉางหลี “คุณชาย”
กงซุนฉางหลีลุกขึ้นยืนแล้วหยิบร่มกระดาษน้ำมัน องครักษ์หนุ่มมองเขาอย่างงุนงง “ท่านจะไป…”กล่าวยังไม่ทันจบ ร่างกายของเขาก็อ่อนยวบทรุดฮวบอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ
นี่ไม่ใช่ยพิษ เป็นเพียงผงสลายกำลังธรรมดาเท่านั้น
เขาเบิกตาโพลงนอนกองอยู่กับพื้น มองกงซุนฉางหลีเดินทีละก้าวหายไปจากครรลองสายตาของตนเอง
กงซุนฉางหลีเดินถือร่มมาที่หน้าประตูใหญ่ รถม้าหรูหราอย่างยิ่งคันหนึ่งรอคอยอยู่นานแล้ว
มือที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในรถม้า เสียงอ่อนโยนจนไม่อาจปฏิเสธได้ดังเอื่อยเฉื่อยออกมาจากในม่านมุก “ฉางหลี ขึ้นมาสิ”
เกล็ดหิมะปลิวมารวมกลุ่มก่อนจะถูกพัดแตกระจาย รถม้าเคลื่อนออกไปอย่างเชื่องช้า เหลือเพียงร่มกระดาษน้ำมันลายกิ่งท้อคันหนึ่งตกอยู่บนพื้นถนนเย็นเฉียบ ถูกสายลมหนาวพัดมาพัดไป
Pandaa
กงซุนฉางหลีเป็นใคร พาอวิ๋นซู่ ไปแล้ว