ทะลุมิติทั้งครอบครัว - บทเสริมตอนที่ 4 แยกกันไม่ขาด
บทเสริมตอนที่ 4 แยกกันไม่ขาด
เฉียนเพ่ยอิงยืนเกร็ง ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับลูกเขยยังไง นางเลยไปหางานทำ
ใช่ ทำงาน
เป็นการบอกว่าเรื่องนี้นางจะไม่ยุ่ง
บนโต๊ะกินข้าวมีนมผง ชามข้าววางระเกะระกะ แค่ดูก็รู้ว่าหลานสาวหิวแล้ว ลูกเขยเลยค้นนมผงออกมาชง
แล้วนี่ทำไมน้ำไฟถึงใช้ได้ล่ะ เฉียนเพ่ยอิงเดินเข้าครัวอย่างงงๆ เปิดเตาแก็สตามสัญชาตญาณ แม่เจ้า แก็สก็มีด้วย
แต่ดูจากสภาพเละเทะบนพื้นก็รู้ได้ว่าลูกเขยใช้เตาแก็สไม่เป็น ใช้เตาไฟฟ้าไม่เป็น ต้มไข่กับผักให้หลานสาวนางกินโดยใช้เตาถ่านที่เอามาเก็บไว้ในพื้นที่พิเศษ
เฉียนเพ่ยอิงแอบไปที่ห้องน้ำ หลบสายตาลูกเขย ก้มตัวเก็บเศษกระดาษทิชชู่ กระดาษเช็ดหน้าของลูกสาว รวมถึงเสื้อกล้ามกับผ้าขนหนูที่ลูกสาวใช้ในยุคปัจจุบัน
ดูท่าหลานสาวของนางจะทั้งอึทั้งฉี่ ลูกเขยเลยเอาของพวกนี้มาเช็ด
เฉียนเพ่ยอิงรีบทิ้งกระดาษทิชชู่ลงในโถส้วม กดปุ่ม ครืดดด เสียงน้ำไหลลงไป
จากนั้นก็แอบย่องต่อ เงี่ยหูฟังลูกเขยถามพลางก้มเช็ดคราบน้ำที่ผนัง ทำความสะอาดอ่างอาบน้ำ นี่อาบน้ำด้วยเหรอ
เครื่องทำน้ำร้อนถูกปรับไปปรับมา ก็ไม่รู้ว่าหมินหรุ่ยใช้เป็นหรือเปล่า
ไม่ใช่แค่เฉียนเพ่ยอิงที่ทำงานด้วยความมึนงง แม้แต่ซ่งฝูเซิง ซ่งฝูหลิง ลู่เฟย ก็งงด้วยเหมือนกัน
ลู่เฟยไม่สนสีหน้าพ่อแล้ว ชี้ทีวีด้วยความตกใจ
เดี๋ยวก็หันหน้ามองซ่งฝูเซิง เดี๋ยวก็มองทีวี หรือนี่ก็คือที่ท่านตาเคยบอกว่าถ้ามีไฟก็ดูทีวีได้
ทั้งๆ ที่นับตั้งแต่ทุกคนเข้ามายังไม่มีใครพูดอะไร
ลู่พั่นแค่ดูสีหน้าของพ่อตาแม่ยาย เมียและลูกชายก็รู้ได้ “ทำไม เมื่อก่อนพวกเจ้าเข้ามาของพวกนี้ไม่มีเสียงเหรอ”
ซ่งฝูหลิงแกล้งทำเป็นเข้าไปดูลูกสาว ขยับเข้าใกล้ลู่พั่น
กลัวลู่พั่นโกรธ มีแค่เขาคนเดียวที่ไม่รู้ ตบมือของลู่พั่นที่จับหนังสือแผนที่เบาๆ “ไม่มีเสียง ไม่มีน้ำ ไม่มีอะไรเลย อีกอย่างเจ้ากับลูกสาวเข้ามาก็เข้ามาสิ แต่ทำไมข้างนอกถึงไม่มีร่างของพวกเจ้าล่ะ”
ลู่พั่นขยับคิ้วเล็กน้อย มองฝูหลิง
เข้าใจแล้ว เรื่องราวสารพัดในอดีต กระจ่างในเวลานี้ “ทำไม เมื่อก่อนตอนเจ้าเข้ามา ข้างนอกยังมีเจ้าอีกคนที่นอนไม่ขยับเหรอ”
ซ่งฝูหลิง “…ใช่”
สองมือของซ่งฝูเซิงเท้าเอว มองลูกเขยที่นั่งบนโซฟาแล้วถอนหายใจ
“หมินหรุ่ย อันที่จริงที่ไม่บอกความลับนี้มาตลอดเพราะกลัวเจ้ารับไม่ได้…
…ยังไงเสียพวกเราก็มีความสามารถเฉพาะติดตัว บอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์…
…เจ้าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เข้าก็เข้าไม่ได้ งั้นจะบอกทำไม…
…เรื่องที่เจ้าเห็นกับตาไม่ได้ พวกเราอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ กลัวจะหาว่าพวกเราเพ้อเจ้ออุปทานหมู่…
…แต่วันนี้ในเมื่อเจ้าเข้ามาได้แล้ว บอกให้เจ้ารู้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะมีหรือไม่มีที่นี่ พวกเรามีวันนี้ได้ก็ไม่ใช่เพราะพึ่งพามันอย่างเดียว ไม่ได้มีผลต่อชีวิตที่มีความสุขของครอบครัวเรา”
ซ่งฝูเซิงพูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ ก็แอบโมโห ข้างนอกตามหาคนให้จ้าละหวั่น “ประเด็นคือเจ้าพาลูกหายตัวไปสองวันหนึ่งคืน ทำไมไม่ออกไป!”
นึกไม่ถึงว่าลูกเขยจะถอนหายใจหนักกว่าเขา
ลู่พั่นวางหนังสือในมือลง หันมองพ่อตาแล้วชี้ลูกสาวที่กำลังนอนหลับปุ๋ย
“ท่านพ่อ คิดว่าข้าไม่อยากออกไปหรือ แต่นับตั้งแต่หลานสาวของท่านพ่อเข้ามา ไม่ว่าข้าจะกล่อมจะสอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมพูดอีกเลย”
“ฮ่าๆๆ…” แย่ละ โรคหัวเราะของซ่งฝูหลิงกำเริบขึ้นมากะทันหัน
ฝูหลิงนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนแรกที่พื้นที่พิเศษขังไว้ก็คือลู่พั่น
จินตนาการว่าอีกหน่อยถ้าลู่พั่นไม่เชื่อฟัง นางจะขังเขาไว้ที่นี่ สนุกเป็นบ้า
ซ่งฝูเซิงถามลู่พั่น “เจ้ากินของพวกนี้เหรอ”
“อ๋า ข้าลองชิมดู”
ซ่งฝูหลิงหัวเราะหนักกว่าเดิม
จากนั้นก็เหมือนติดเชื้อซ่งฝูหลิง เสียงหัวเราะเริ่มดังไปทั่วพื้นที่พิเศษปะปนไปกับเสียงอ้อนวอนของลู่เฟย “ท่านพ่อจะเลือกลงโทษแค่ลูกไม่ได้นะ”
…
คำสอนในพระพุทธศาสนาว่าไว้ ไร้วาสนาไม่พานพบ ไร้หนี้ไม่เวียนมา ชาติก่อนชาตินี้ล้วนเป็นวัฏจักร
ชาวบ้านอย่างพวกเรามักพูดกันว่า หมั่นสะสมบุญ จะได้เสวยสุขในชาติหน้า
ดังนั้นบทเสริมของตอนจบเรื่องนี้เป็นแบบเปิดกว้าง
หลังจากหมดอายุขัยในยุคโบราณ ทุกคนลองจินตนาการได้ตามใจ
อาจเป็นแบบนี้ก็ได้
ซ่งฝูหลิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา “ไอ๊หยา เอวฉัน ล้มเสียแรงเลย”
เฉียนเพ่ยอิงก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา “เมื่อครู่มีไฟรั่วหรือเปล่า”
ซ่งฝูเซิงที่ลงไปซื้อน้ำมันถั่วเหลืองจากซูเปอร์มาร์เก็ตข้างล่างเปิดประตูเข้ามา “สองแม่ลูกทำอะไรกันอยู่ มารับของหน่อย”
ไม่ได้ทะลุมิติ ก็แค่ถูกไฟช็อตตกใจมาก และก็ไม่มีความทรงจำของยุคโบราณ
ชีวิตเหมือนยามปกติที่เตรียมฉลองปีใหม่ เรียกช่างมาซ่อมเครื่องทำน้ำร้อนที่ไฟรั่ว
ฉลองปีใหม่ญาติๆ มารวมตัวกัน พวกพี่ชายน้องชายของเฉียนเพ่ยอิงถามซ่งฝูเซิง “พี่เขย ฝูหลิงของพวกเรามีแฟนหรือยัง”
ซ่งฝูเซิงจิบเหล้าแล้วพูด “ไม่มี เรื่องแบบนี้จะรีบทำไม เพิ่งจะเรียนจบปอโทเข้าทำงานเองนะ”
อย่างมากพวกผู้ชายก็แค่ถามดู ส่วนใหญ่คุยเรื่องธุรกิจ ปีนี้ทำเงินได้เท่าไร
คนที่ถามหนักๆ คือพวกป้าๆ น้าๆ ของซ่งฝูหลิง
พวกผู้หญิงคือกำลังสำคัญในการเร่งแต่งงานเสมอ
“เรียนปอโทจบแล้ว ตอนนี้มาคิดดู เพ่ยอิง อันที่จริงตอนนั้นฝูหลิงไม่เรียนต่อก็ได้ ฉลาดอยู่แล้ว จบปอตรีไปสอบราชการทำงานสบายๆ ก็ได้แล้ว”
น้าอีกคนพูดต่อ “นั่นสิ เด็กผู้หญิงแซ่หลิวที่เมื่อก่อนเล่นกับฝูหลิงบ่อยๆ ชื่ออะไรนะ ได้ยินว่าสอบติดไปอยู่สภาปรึกษาการเมืองแล้ว ดูสบายจะตาย ยังจะไปเป็นอาจารย์อีก งานนั้นใช้แค่วุฒิปอตรีเอง”
“นั่นสิๆ สาวๆ บ้านอื่นอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ก็แต่งงานแล้ว แต่ฝูหลิงยังเรียนต่อไม่จบ คนอื่นมีลูกกันแล้ว แต่ฝูหลิงเพิ่งเริ่มทำงาน แฟนก็ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตน ผู้หญิงพอพ้นยี่สิบห้าก็เริ่มผ่านไปไวแล้ว รอไปถึงสามสิบยิ่งเลือกไม่ได้เข้าไปใหญ่”
พวกป้าๆ น้าๆ ตะโกน “ฝูหลิง อย่าโกรธที่พวกป้าเร่งเลยนะ อย่าคิดว่าตัวเองเพิ่งอายุยี่สิบห้า แต่ก็ต้องรีบแล้ว ยังต้องใช้เวลาคบหาดูใจกันอีก อีกอย่าง เกิดคนนี้ไม่ไหว เปลี่ยนคนถัดไป ยังต้องให้เวลาคนถัดไปได้คบหาดูใจด้วย จากนั้นถึงแต่งงาน ลองคิดดูดีๆ เวลามันผ่านไปไวนะ”
ซ่งฝูหลิงยิ้มตาหยีเปลี่ยนเรื่องคุย “ป้าใหญ่ พี่สาวหนูล่ะ ทำไมวันนี้ไม่มา”
“พี่สาวเราท้องสองแล้ว หนีไปเที่ยวซานย่าแล้ว ทางนี้มันหนาว”
เฉียนเพ่ยอิงแอบอิจฉา “เชี่ยนเชี่ยนท้องสองแล้วเหรอ”
“อืม นี่ก็ได้สามเดือนแล้วถึงกล้าบอก ลูกเขยปีใหม่ได้หยุดงานก็รีบตามไปดูแลด้วยทันที พี่เลยได้หายใจหายคอบ้าง ไม่อย่างนั้นพี่ก็ต้องไปด้วย” ป้าใหญ่ของฝูหลิงพูดด้วยความภูมิใจ
เด็กสาวที่อายุพอกันชอบถูกเอาไปเปรียบเทียบ
ถึงแม้เชี่ยนเชี่ยนลูกสาวของเธอตอนเด็กจะเรียนไม่โดดเด่นเท่าฝูหลิง ทำงานก็งั้นๆ พอแต่งงานก็ถือโอกาสลาออก แต่ตอนนี้ชีวิตก็ไม่ได้แย่
เรือนหอบ้านลูกเขยใหญ่มาก พ่อแม่ของลูกเขยก็ไปซื้อบ้านที่ทางใต้ไว้ด้วย ลูกเขยเป็นหมอฟัน
ทางญาติๆ ของครอบครัวเฉียนยังพอไหว
พอขึ้นปีใหม่ซ่งฝูเซิงต้องกลับบ้านเกิดตัวเองไปเผากระดาษให้พ่อแม่
สามคนพ่อแม่ลูกขับรถไปบ้านลุงใหญ่ของซ่งฝูหลิงในอำเภอ
ทางที่ไปเผากระดาษต้องเดินไป ไม่ได้ขับรถ
ป้าสะใภ้ใหญ่ของฝูหลิงคิดว่าซ่งฝูเซิงที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้ยิน เอาความโกรธที่พอซ่งฝูเซิงกลับมาก็พูดถึงส่วนแบ่งค่าเวนคืนทรัพย์สินของบรรพบุรุษไปลงที่ฝูหลิง
“เรายังไม่มีแฟนเหรอ จึ๊ๆ…
…ป้าว่านะ เราน่ะเรียนเยอะไปก็ไม่มีประโยชน์ ดูซิพ่อส่งเราเรียนเสียเงินตั้งเท่าไร…
…มัวเสียเวลาแบบนี้ เดี๋ยวอายุมากเข้าก็ต้องหาแฟนที่พอไปวัดไปวาได้มาแต่งงานด้วย ดีไม่ดีพ่อแม่เรายังต้องควักเงินซื้อเรือนหอให้…
…ตอนนี้บ้านราคาแพงจะตาย พ่อเรามีเงินเท่าไรก็เอาไปลงกับเราหมด”
ป้าสะใภ้เพิ่งพูดจบ ทันใดนั้นก็มีรถสปอร์ตสีดำมาปรากฏในหมู่บ้าน ขับเข้ามาปาดท้ายขวางกลุ่มคนเหล่านี้
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้วกำลังจะด่าว่า นี่มันยุคสมัยไหนแล้วมาทำแบบนี้ ไม่กลัวขึ้นติ๊กต่อกเหรอไง
ใครมันขับรถแบบนี้ รวยนักทำอวดเหรอ
ลู่พั่นที่มีความทรงจำของยุคโบราณสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสูท รูปร่างผึ่งผายลงจากรถ “ฝูหลิง”
รถทะเบียนเบอร์ต่ำต่างเมืองแสดงถึงฐานะของเขาได้ดี
ตรงที่นั่งคนขับยังมีเนกไทกับเสื้อโค้ทของเขา
อินทรธนูที่อยู่บนเสื้อโค้ทบ่งบอกว่าเขาขับเครื่องบินรบ
และนี่ก็คือแฟนที่หล่นมาจากสวรรค์ของซ่งฝูหลิงคนยุคปัจจุบัน
ซ่งฝูเซิงในยุคปัจจุบันก็ยังคงจู้จี้จุกจิกเหมือนยุคโบราณ เจอกันครั้งแรกก็ดุลูกเขย
“ไอ้หนุ่ม ขับรถแบบนี้ต่อให้รถแพงจะมีประโยชน์อะไร พวกเราอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหิมะตกหนัก มีแค่วัวม้าเท่านั้นแหละที่เดินทางคล่อง เดี๋ยวยังต้องมาช่วยเอ็งเข็นรถอีกเนี่ย”
…
บทเสริมของตอนจบก็อาจเป็นแบบนี้ได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หมดอายุขัยในยุคโบราณ ทุกคนไม่ได้กลับมายังยุคปัจจุบัน แต่ทะลุมิติไปยังยุคหกศูนย์สมัยที่ลำบากที่สุด
ก็ยังคงมีแค่ลู่พั่นที่มีความทรงจำของยุคโบราณ ครอบครัวซ่งมีความทรงจำของยุคปัจจุบัน
หมี่โซ่ววัยสี่ขวบหิวจนปากแห้ง ยื่นมือสั่นๆ ออกมาอยากให้ซ่งฝูเซิงอุ้ม “ลุง หนูหิว”
ท่านย่าหม่านอนอยู่บนเตียงในห้องติดกัน หิวจนลมหายใจรวยริน ได้ยินว่าซ่งฝูไฉกับซ่งฝูสี่ออกไปขออาหารแล้ว
ซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงอุ้มหมี่โซ่วที่ผอมแห้งเหลือแต่กระดูกเดินออกจากบ้านหลังเก่า
พวกเขาสองคนใจคอไม่ดี ทะลุมิติก็ทะลุไปสิ ทำไมลูกสาวพวกเขาถึงหายไป
จะไปตามหาลูกสาว
พอซ่งฝูเซิงออกจากบ้านก็สะดุ้งตกใจ ฝูกุ้ยหิวหมดสติอยู่ที่หน้าประตู มีเสียงตะโกนของผู้เฒ่าดังมาจากไกลๆ “ใช่หลานเซิงไหม เร็วเข้า ลุงได้ข้าวสารมาหน่อย รีบเอาไปหุงให้แม่กับหมี่โซ่วกินเร็ว”
ท่านลุงซ่งแอบเอาให้ซ่งฝูเซิงเสร็จก็ไป เพราะในหมู่บ้านมีคนหิวตายอีกแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านต้องไปดูหน่อย จัดการเอาเสื่อห่อศพ เฮ้อ
ในเวลาเดียวกัน ซ่งฝูหลิงที่แต่งไปอยู่หมู่บ้านอื่นสวมเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินกับกางเกงผ้าฝ้ายที่มีรอยปะ กำลังมองลู่พั่นที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตะลึง
รองเท้ากันหนาวของลู่พั่นก็เก่าจนนิ้วโผล่ เขาเองก็จ้องฝูหลิงด้วยสายตาที่บรรยายไม่ถูก
ห้องเล็กที่มืดสนิท ฝูหลิงหิวจนท้องร้องโครกคราก ทำลายความเงียบ
ฝูหลิงเลียริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าลึก “คุณเป็นใครเหรอ”
ลู่พั่น “…”
เมื่อซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงอุ้มหมี่โซ่วที่ผอมแห้งมาเปิดประตูบ้านลู่พั่น สิ่งแรกที่เฉียนเพ่ยอิงทำคือไปดึงลูกสาวออกมาจากหลังกองฟืนแล้วถามสามคำถามรวด
“เราแต่งงานแล้วเหรอ…
…แม่หมายถึงเข้าห้องหออะไรกันเรียบร้อยแล้วเหรอ…
…แต่งกับคนจนเนี่ยนะ”
ซ่งฝูเซิงที่อยู่ในห้องถลึงตาใส่ลูกเขย ลูกเขยชื่อลู่พั่นใช่ไหม
“อย่ามัวแต่พ่อเพ่ออะไรเลย รีบหาอะไรให้พวกเรากินก่อน”
ซ่งฝูเซิงในปีหกศูนย์เจอลูกเขยครั้งแรกก็ยังคงดุใส่เหมือนเดิม
ส่วนลู่พั่นจะเลี้ยงดูครอบครัวในยุคนี้ยังไง จากคุณชายที่ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินกลายมาเป็นคนจนขนาดนี้ ทุกคนก็ลองจินตนาการกันดูนะ
จบบริบูรณ์
MooOaun
ขอบคุณมากค่ะ เป็นอีก1เรื่องในดวงใจเลย เห็นเรื่องนี้มานานมากแต่ไม่คิดจะอ่าน กระทั่งวันนึงที่ไม่รู้จะอ่านเรื่องอะไรแล้วเลยลองดู ยินดีที่สุดที่ไม่ได้พลาดเรื่องนี้ ยังคิดจะอ่านซ้ำอีกหลายๆครั้งด้วยค่ะ 💘
JumJun
ขอบคุณค่ะ ชอบมาก
natnattha
ชอบเรื่องนี้มาก ขอบคุณนะคะ
Soda11
ขอบคุณค่ะ
[email protected]
ไม่อยากให้จบเลยค่ะ สนุกมากๆๆๆ