ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 743 มุ่งมั่นไม่ย่อท้อก็เป็นท่าทีอย่างหนึ่ง
ตอนที่ 743 มุ่งมั่นไม่ย่อท้อก็เป็นท่าทีอย่างหนึ่ง
กลับถึงเรือนรับรองของตระกูลลู่
พวกจวี่เหรินพากันบอกให้ซ่งฝูเซิงเขียนออกมาว่าตอบอะไรไปบ้าง
ซ่งฝูเซิงอ้อนวอน ปล่อยเขาไปเถอะ ให้เขียนอีกรอบเขาไม่ต้องเขียนทั้งวันเลยเหรอ
อีกอย่างเวลานี้ควรเป็นเวลาที่ฉลองให้ทุกคน
ทำไมถึงพูดแบบนี้น่ะเหรอ
เพราะจวี่เหรินห้าสิบหกคนที่พักอยู่ในเรือนรับรองของตระกูลลู่นี้ มีแค่เขาคนเดียวที่สอบตก อีกห้าสิบห้าคนที่เหลือสอบผ่านกันหมดโดยกระจายกันไปมีทั้งอันดับต้นๆ กลางๆ และรั้งท้าย
เมื่อครู่เขายุ่งมาก สถานการณ์โกลาหล ไม่ได้สังเกตว่าพวกจวี่เหรินคนอื่นเป็นอย่างไรกันบ้าง
เอาแค่กลุ่มย่อยที่เขาเป็นคนพามานี้ เรียกได้ว่าเขตเมืองเฟิ่งเทียนได้รับชัยชนะครั้งใหญ่
ถึงแม้คนที่อยู่อันดับท้ายๆ จะมีเยอะ แต่พวกเราชนะด้วยจำนวน สมกับเป็นอดีตเมืองหลวง
ในระหว่างที่พวกจวี่เหรินแย่งกันพูด ซ่งฝูเซิงก็เหลือบเห็นซื่อจ้วง เขาไม่ได้ฟังว่าพวกจวี่เหรินพูดอะไรกัน
ซื่อจ้วงกำลังทำไม้ทำมือถามหยางหมิงหย่วน
หยางหมิงหย่วนอาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่ซ่งฝูเซิงเข้าใจแล้ว
ซ่งฝูเซิงลากซื่อจ้วงไปดุตรงมุมด้านนอก
“เจ้าถามทำไมว่าคนตรวจข้อสอบเป็นใคร คิดอะไรให้มันถูกต้องหน่อยเป็นไหม! เด็กคนนี้นี่ จะไปทุบหน้าต่างบ้านเขาหรือจะไปทำอะไรกับรถม้าของเขาล่ะ”
ซื่อจ้วงไม่ยอม
เขาไม่เข้าใจเรื่องใช้ความรู้
แค่คิดอย่างแน่วแน่ว่า ห้าสิบห้าคนนั้นสอบได้แล้ว มีแค่พ่อบุญธรรมของเขาที่สอบตก มันไม่บังเอิญขนาดนั้น จะต้องตัดสินผิดแน่ ไม่ยุติธรรมแน่นอน
เขาทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่เรื่องล้างแค้นกลับไม่มีปัญหา
ซ่งฝูเซิงโมโหมาก โตขนาดนี้แล้ว ดุด่าใช้กำลังก็ไม่ได้ผล
“ทำไม ต่อไปใครก็ห้ามมีเรื่องกับบ้านเราอย่างนั้นเหรอ กล้ามาหาเรื่อง กล้ามาบอกว่าบ้านเราผิด เจ้าก็จะไปฆ่าเขาใช่ไหม ซื่อจ้วง อย่าทำอย่างนี้สิ มีที่ไหนกันแค่ไม่ถูกใจก็เที่ยวใช้กำลังกับคนอื่น อย่างนั้นวันหน้ามีคนมาล่วงเกินข้าเยอะๆ เจ้าจะฆ่าให้หมดเลยเหรอ”
ขอแค่พ่อบุญธรรมเอ่ยปาก ก็ใช่ว่าจะไม่ได้
ใช่ว่าจะไม่ได้กับผีสิ
ซ่งฝูเซิงฟาดหลังซื่อจ้วงหนึ่งที “อย่างนั้นเจ้าก็ติดคุกไปเลยไป!”
ชอบทำให้กลุ้มใจ แต่งงานแล้วแท้ๆ ยังจะชอบฆ่าแกง
และที่น่าโมโหที่สุดคือ ทีให้ไปรบไม่ยอมไป ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ฆ่าคนได้อย่างสมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ ถ้าคันไม้คันมือนักก็ไปฆ่าที่นั่น
ไล่ไม่ไป กลับทำตัวติดหนึบอยู่บ้าน
เรือนหลัง
ป้าของเสี่ยวเฉวียนจื่อกับเสวี่ยเหนียงจงใจไล่พวกสาวใช้ออกไปให้หมด เพื่อเปิดโอกาสให้สองแม่ลูกได้เช็ดน้ำตา
แต่กลับไม่มี
ไม่มีทางมีเรื่องแบบนั้น
สตรีแก่เด็กของเก้าสกุลฝึกออกมาได้สองอย่าง อย่างแรกคือ ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่เท่าเกิดตาย อย่างที่สองคือ มอสโกไม่เชื่อในน้ำตา เอ้ย ร้องไห้ไม่มีประโยชน์
ซ่งฝูเซิงอยู่หน้าห้องได้ยินเสียงลูกสาวพูด “อย่าเห็นว่าพ่อข้าสอบตก แต่พ่อข้าเป็นที่หนึ่งในใจข้าเสมอ ใครก็สู้ไม่ได้”
เถาฮวากับเป่าจูรีบพูดขึ้น “ในใจข้าก็เหมือนกัน”
น้าสาม (พ่อบุญธรรม) เป็นที่หนึ่งในใจพวกเราตลอดไป
เถาฮวายังพูดอีกว่า “อาฝูกุ้ยกับพี่เถี่ยโถวไปเฝ้าที่กระดานประกาศผลอีกแล้ว บอกว่าอยากรอดูว่าจะมีการตัดสินผิดพลาดหรือเปล่า ถ้ามีคนไปพูดแบบนี้เยอะเข้า จะต้องสร้างความสงสัยได้แน่”
ซ่งฝูหลิงเงยหน้าพูดกับเสวี่ยเหนียง “รีบส่งคนไปบอกให้พวกเขากลับมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ อย่าให้อาฝูกุ้ยพลาดกินข้าวเที่ยง”
ถามต่อ “จริงสิ เสี่ยวเฉวียนจื่อล่ะ”
ป้าของเสี่ยวเฉวียนจื่อหลบตา
เฉวียนจื่อกลับจวนไปตั้งแต่ทราบข่าวแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการ
ตอนที่เพิ่งได้ข่าวนางตกใจมาก หลานชายของนางปากไม่มีหูรูด โมโหด่าออกมาว่า ‘มีตาหามีแววไม่’
โชคดีที่มีแค่นางกับพ่อบ้านหลูได้ยิน
สรุปว่าห้ามไม่อยู่ เขาจะกลับไปหาเหล่าฮูหยินให้ได้ ถึงขั้นที่ต้องการขอพบใต้เท้าผู้สำเร็จราชการ
คิดดูแล้วกันพวกเราเป็นบ่าวรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นคนโปรดของเจ้านายแค่ไหนก็คือบ่าวรับใช้ มีที่ไหนกันพอโมโหเรื่องบางอย่างก็รีบวิ่งแจ้นไปฟ้องเจ้านาย
แต่พูดตามตรง คนตรวจข้อสอบพวกนี้ก็ไม่ไว้หน้าจวนผู้สำเร็จราชการเลย น่าจัดการเก็บพวกเขาจริงๆ
ถึงแม้คนพวกนี้จะไม่รู้ว่าวันหน้าท่านซ่งกับจวนผู้สำเร็จราชการจะมีความสัมพันธ์อย่างไรก็ตาม
ป้าของเสี่ยวเฉวียนจื่อพูดโกหก “เรียนคุณหนู เฉวียนจื่อน่าจะไปทำงานนอกจวนเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
ซ่งฝูหลิง เชื่อก็บ้าแล้ว
“ให้เฉวียนจื่อรีบกลับมา” อย่าออกไปร้องไห้คร่ำครวญว่าตัดสินผิดอะไรเทือกนี้ ไม่จำเป็น
พ่อของนางไม่ได้เข้าสำนักฮั่นหลิน ได้ไปเป็นขุนนางท้องถิ่น ในสายตาของซ่งฝูหลิง นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าก็ได้
เฉียนเพ่ยอิงก็ยิ้มพลางพูด
“อย่าคิดมากกันเลย ได้ยินว่าอันดับหนึ่งเพิ่งได้แค่ขั้นหกไม่ใช่เหรอ พวกเราปิดประตูคุยความในใจกัน พ่อพวกเจ้า น้าสามพวกเจ้า ต่อให้ไม่ได้ไปต่อแล้วอย่างไรล่ะ อีกเดี๋ยวก็ได้รับตำแหน่งขั้นเจ็ดขั้นแปดมิใช่รึ อย่างแย่สุดก็ขั้นแปด ก็ไม่ได้แย่นะ ขั้นหกขั้นแปด”
เฉียนเพ่ยอิงคิดแบบนั้นจริงๆ
“สอบอีกสนามแล้วอย่างไร ก็ได้เข้าสนามขุนนางเหมือนกัน ต่างกันก็แค่เข้าไปอย่างเต็มภาคภูมิหรือเข้าไปแบบธรรมดา…
…พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็ พ่อพวกเจ้าเคยเข้าไปมาแล้ว ก็แค่ไม่อยากทำต่อ เลยถอนตัวออกมา…
…สรุปว่าวันหน้าต้องดูที่ว่าทำได้ไหม ทำเป็นหรือเปล่า…
…หากไร้ความสามารถ สอบได้อันดับหนึ่งก็ถึงทางตันได้เหมือนกัน อย่างไรเสียข้าก็พอใจแล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงคิดในใจ แค่นี้ก็ถึงกับต้องจุดธูปไหว้หลุมศพบรรพบุรุษแล้ว คนอื่นไม่เข้าใจ นางยังจะไม่รู้อีกเหรอ คนอย่างเหล่าซ่งแค่อ่านหนังสือนิดหน่อยก็โอดครวญ
เอาล่ะ นายท่านจวี่เหริน ฮูหยินจวี่เหริน มันยอดเยี่ยมมากแล้ว
เย็นนี้นางจะพูดกับเหล่าซ่งว่า ‘โชคดีที่เจ้าสอบไม่ติด ไม่อย่างนั้นข้าได้รักเจ้าตายเลย อย่าให้รักตายเลยดีกว่า ขอเหลือที่ว่างให้หายใจหายคอหน่อย’
ซ่งฝูเซิงฟังอยู่ด้านนอกก็ยิ้ม ขณะที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินหมี่โซ่วพูดว่า “ท่านป้า ข้าอยากไปเรือนหน้า”
“ไปเรือนหน้าทำไม ลุงเจ้ากับพวกจวี่เหรินกำลังหารือกันอยู่ ดีไม่ดีกำลังสรุปการสอบสนามล่าสุด เตรียมสอบเตี้ยนซื่อสนามถัดไปกันอยู่”
อย่าเห็นว่าเหล่าซ่งสอบตก แต่เฉียนเพ่ยอิงคิดว่าจวี่เหรินพวกนั้นเชื่อในความรู้ของเหล่าซ่งมากทีเดียว
หมี่โซ่วตอบ “ก็เพราะกำลังสรุปการสอบสนามก่อนข้าถึงได้อยากฟัง ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร กะจะท่องไว้ในใจ”
มีคำพูดนั้นไม่ใช่เหรอ
คำพูดไหน
อย่ามองข้ามคำเตือนของผู้แพ้ ผู้แพ้คือผู้ทรงอิทธิพลในยามที่เราไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ประตูถูกเปิดออก ซ่งฝูเซิงปรากฏตัว
หมี่โซ่วรีบเอาหมวกมาใส่แล้ววิ่งหนี
ซ่งฝูเซิงกัดฟัน “มันน่าตีนัก วันนี้ต้องเอาสักป้าบ”
เด็กคนนี้ชอบพูดจายั่วโมโหขึ้นทุกวัน เมื่อครู่ไม่น่าอุ้มเลยจริงๆ
ทางด้านนี้ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องสอบตกไม่ส่งผลต่อความอยากอาหาร
อีกด้านหนึ่ง เรื่องที่ซ่งฝูเซิงไม่รู้คือ มีคนกำลังวิ่งเต้นเรื่องข้อสอบของเขาให้
ทั้งยังเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก
…
การสอบจอหงวนครั้งนี้ ทั้งหกกรมได้ส่งคนมาร่วมตรวจข้อสอบ
พูดให้ถูกก็คือ ฮ่องเต้ไม่ค่อยเชื่อในตัวใต้เท้าเมิ่งที่ความรู้ดีแต่ทำงานคร่ำครึ
แต่ปีนี้ตัดขุนนางที่เลี่ยงข้อครหาออกไป ใต้เท้าเมิ่งก็คือคนที่มีขั้นขุนนางสูงที่สุดคือขั้นสอง ว่ากันตามเหตุผลก็ควรให้ใต้เท้าเมิ่งเป็นหัวหน้าคุมสอบ
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ อันที่จริงฮ่องเต้ก็เคยแย้ง เขาอยากให้ใต้เท้าขั้นสองคนอื่นเป็นหัวหน้าคุมสอบ แต่ก็มีขุนนางหลายคนที่แอบเกลี้ยกล่อมเป็นการส่วนตัวว่าไม่เหมาะ
ฮ่องเต้ก็คิดอีกว่า เรื่องที่เขาฆ่าสนมของอดีตฮ่องเต้ ใต้เท้าเมิ่งได้ช่วยแก้ต่างเพื่ออุดปากพวกที่ไม่เห็นด้วย กฎบางข้อที่เขาจำไม่ได้ ใต้เท้าเมิ่งก็ช่วยนำมาใช้ประโยชน์ให้ทั้งหมด จัดการได้ดีทีเดียว
ก็แสดงว่าคนผู้นี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ครั้งนี้ใต้เท้าเมิ่งได้เป็นหัวหน้าคุมสอบ
ต่อมาฮ่องเต้เลยบอกว่า อย่างนั้นก็ให้ทั้งหกกรมส่งคนมาด้วยแล้วกัน
อย่าเลือกคนตรวจข้อสอบแบบที่แล้วๆ มา การสอบจอหงวนปีนี้จะเน้นไม่เหมือนในอดีต
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่จนกระทั่งจะเปิดสอบอยู่แล้วเพิ่งจะกำหนดตัวหัวหน้าคุมสอบได้
ด้วยเหตุนี้กรมคลังจึงส่งใต้เท้าอันมา
ใต้เท้าอันก็คือหนึ่งในคนตรวจข้อสอบที่สนับสนุนให้ซ่งฝูเซิงติดหนึ่งในสามอันดับแรก
ขุนนางตรวจข้อสอบที่เข้าร่วมการสอบจอหงวนครั้งนี้จะต้องถูกกักตัวไว้จนกว่าจะประกาศผล
ซึ่งก็หมายความว่า ใต้เท้าอันเพิ่งถูกปล่อยออกมา ยังไม่ได้กลับบ้าน ในอกมีข้อสอบของซ่งฝูเซิงที่สอบตก เขาไปหาท่านตาของลู่พั่น
เขาไม่ยอมแพ้ให้หัวหน้าคุมสอบอย่างใต้เท้าเมิ่ง
ใต้เท้าเมิ่งเป็นมหาบัณฑิตของตงเก๋อ
เขาอยากให้มหาบัณฑิตของเหวินยวนเก๋อที่มีความรู้มากกว่าอ่านคำตอบเหล่านี้
แต่ใต้เท้าอันนึกไม่ถึงว่าจะไปเสียเที่ยว ทางนั้นบอกไม่อยู่ ไม่พบเขา
เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี ท่านตาของลู่พั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มองฮูหยินด้วยสีหน้าตกใจ “เจ้าบอกว่าหมินหรุ่ยต้องการสู่ขอบุตรสาวของใต้เท้าอันรึ”
บุตรสาวของใต้เท้าอันอะไรกัน
ท่านยายของลู่พั่นเกือบเสียมารยาทถลึงตาใส่สามี แสดงให้เห็นว่าสามีของนางไม่เคยสนใจเรื่องอื่นเลยนอกจากมีหนังสือเป็นเพื่อน ไม่สนใจเรื่องภายนอกแม้แต่น้อย
“ซ่งฝูเซิงที่ใต้เท้าอันพูดถึงต่างหาก”
ท่านถึงได้ต้องเลี่ยง ถ้าไม่ห้ามไว้คงออกไปพบแล้ว
ท่านตาของลู่พั่น ทำไมเขาไม่เคยได้ข่าวเลยล่ะ
ใต้เท้าอันไม่ยอมแพ้
เขาไปเคาะประตูบ้านท่านอัครเสนาบดีไม่ได้ หากไม่มีตำแหน่งถึงขั้นนั้นก็ไม่มีสิทธิ์สนทนากับใต้เท้าอัครเสนาบดี ถ้าไปพบได้เขาจะตรงไปที่จวนลู่
รองเสนาบดีใต้เท้าเหมา เหมาจวิ้นอี้ เวลานี้อดหลับอดนอนจนตาแดงก่ำ กำลังจะกลับจวนไปพักผ่อน แนวหน้าเปิดศึก เขาไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว
ก็มาเจอกับใต้เท้าอัน
“ข้ามาขอให้ใต้เท้าช่วยอ่านข้อสอบฉบับนี้สักหน่อย” ใต้เท้าอันทำหน้าขอร้อง
ใต้เท้าเหมาเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา คิดอยู่ว่าจะเอาเรื่องการสอบจอหงวนมารายงานเขาทำไม งานของเขาเยอะแยะ
“ใต้เท้า ผู้ที่สอบตกคนนี้เขียนในกระดาษคำตอบว่าเคยทำงานอยู่ในพระคลังหลวงเมืองเฟิ่งเทียน”
“ใครน่ะ ซ่งฝูเซิงเหรอ”
“ใต้เท้า ก็คือคนผู้นั้น”
เหมาจวิ้นอี้หยุดเดิน หันกลับไปมองใต้เท้าอันที่โค้งตัวอยู่ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเขาสอบตกรึ”
“สอบตก”
“เอามาดู”
หนึ่งชั่วยามต่อมาใต้เท้าเหมาที่อดนอนจนดวงตาแดงก่ำก็รู้สึกกระวนกระวายใจ
เขาเบิกตาโพลง ดื่มชาที่เย็นแล้วไปหลายถ้วย ทั้งยังให้ผู้ติดตามมาช่วยเล็มเครา
เขาจัดชุดรองเสนาบดีของตัวเองให้ดี ถือข้อสอบของซ่งฝูเซิงไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้
Soda11
มารอค่ะ ค้างอยางแรง🥰🥰🥰🥰